วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

กำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้


กำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ ผู้เรียนต้องระบุจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (goals) ด้วยการระบุความรู้และการปฏิบัติ โดยการระบุความรู้ในรูปของสารสนเทศ (declarative knowledge) และระบุทักษะ การปฏิบัติหรือกระบวนการ (procedural knowledge) จุดหมายการเรียนรู้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยจำนวนของบทเรียน ปริมาณเนื้อหาสาระหรือความรู้สูงสุด แต่หมายถึงความคาดหวังที่จะเรียนรู้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งและเจตนาที่จะให้ผู้เรียนแสดงถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้
จุดหมายการเรียนรู้

จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (learning goals) ความปรารถนาอยากเรียนรู้ ความปรารถนาอาจมาจากบุคคล ประสบการณ์ สถานการณ์พอเศษหรืออื่นๆ David Henry Felman (อ้างถึงในอารี สัณหฉวี 2546 : 140) อารี สัณหฉวี ผู้แปล ความเก่ง 7 ชนิด ค้นหาและพัฒนาพหุปัญญาในตน กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) ศาสตร์ตราจารย์สาขาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ เรียก สิ่งที่จุดประกายความปรารถนาที่จะเรียนรู้นี้ว่าประสบการณ์ตกผลึก (crystallizing experiences) ประสบการณ์ประทับใจหรือประสบการณ์ตกผลึกนี้ก็จะต้องมีการพัฒนาฟูมฟัก Alfred North Whitehead (อ้างถึงในอารี สัณหฉวี 2546 : 141) กล่าวว่าในการพัฒนาฟูมฟักมี 3 ขั้น เรียกว่า จังหวะของการศึกษา (rhythm of education) ขั้นที่หนึ่ง คือ ระยะหลงรัก (romance) ระยะนี้เป็นความรื่นเริง มีชีวิตชีวาที่จะเรียนรู้ ขั้นที่สอง คือ ระยะของความแม่นยำ (precision) ระยะนี้จะต้องศึกษาฝึกหัดฝึกซ้อมให้ถูกต้องแม่นยำและขั้นที่สาม คือ ระยะของความคล่องแคล่วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้ (generalization) การกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้เป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาปัญญา ซึ่งอาจวางแผนเพื่อพัฒนาปัญญาด้านใดด้านหนึ่งมาศึกษาและฝึกหัด ในการวางแผนพัฒนาปัญญานี้ผู้ที่ถนัดด้านมิติอาจทำเป็นเส้นเวลาหรือรูปภาพ ผู้ที่ถนัดด้านมนุษยสัมพันธ์อาจจะเล่าเรื่องให้เพื่อนสนิทฟัง เป็นต้น 
จุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
Bloom และคณะ (1956) ได้จัดกลุ่มการเรียนรู้ออกเป็นสามประเภท คือ ด้านพุทธพิสัย ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย พุทธพิสัยรวมถึงการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะพิสัยรวมถึงการพัฒนาเสรีทางกายและทักษะที่ต้องการใช้กล้ามเนื้อสัมพันธ์กับประสาท จิตพิสัยเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งเจตคติ ความซาบซึ้งและค่านิยม การเรียนรู้ทั้งสามประการนี้ควรได้รับการพิจารณาในการวางแผนผลที่ได้รับจากการเรียนรู้ที่ได้จาการเรียนการสอน ในการที่จะประสบความสำเร็จตามจุดหมายของการศึกษา ขอบเขตการเรียนรู้ทั้งสามนี้ต้องได้รับการบูรณาการเข้าไว้ในทุกลักษณะของการเรียนการสอน และการพัฒนาหลักสูตรซึ่งจะทำให้ผู้เรียนกลายเป็นจุดโฟกัสของกระบวนการเรียนการสอนการเรียนรู้ ดังภาพประกอบที่ 3

ภาพประกอบที่ 3 บูรณาการของพุทธพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย
อนุกรมวิธาน เป็นระบบของการแยกแยะบางสิ่งบางอย่าง ดังนั้น อนุกรมวิธานของการศึกษาจึงแยกแยะพฤติกรรมที่นักเรียนสามารถคาดหวังที่จะทำให้ได้ภายหลังจากที่ได้เรียนรู้แล้ว อนุกรมวิธานเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด คือ อนุกรมวิธานด้านพุทธพิสัยของบลูมและคณะ
พุทธิพิสัย รวมถึงความรู้ ความเข้าใจ การนำไปประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า พุทธพิสัยแต่ละประเภทในอนุกรมวิธานประกอบด้วยองค์ประกอบบางประการของประเภทความรู้ที่ต้องมาก่อนอนุกรมวิธานนี้มีประโยชน์สำหรับการออกแบบหลักสูตรและการสร้างแบบทดสอบ


ตารางที่1 อนุกรมวิธานทางปัญญาของบลูม


ตารางที่ 2 อนุกรมวิธานทางเจตคติของบลูม


ตารางที่ 3 อนุกรมวิธานทางทักษะพิสัย

เกี่ยวข้องกับว่านักเรียนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนรู้ รู้สึกอย่างไรกับการเรียนรู้ดับตนเอง และเป็นการพิจารณาความสนใจ ความซาบซึ้ง เจตคติค่านิยมและคุณลักษณะของผู้เรียน
ทักษะพิสัย เกี่ยวข้องกับทางร่างกายหรือทักษะทางประสาทและกล้ามเนื้อสัมพันธ์กันในการเฝ้าดูการเรียนรู้ที่จะเดินก็เกิดความคิดว่ามนุษย์เรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อเด็กได้รับความคิดว่าต้องการอะไร และมีทักษะที่ต้องมีมาก่อน มีความแข็งแรง และวุฒิภาวะและอื่นๆ เด็กจะมีความพยายามหยาบๆ ซึ่งจะค่อยๆ แก้ไขผ่านข้อมูลย้อนกลับมาจากสิ่งแวดล้อม เช่น ธรณีประตู การหกล้ม พรมผู้ปกครอง และสุดท้าย ทักษะการแสดงออกซึ่งมีคุณค่าต่อวัยเด็กตอนต้น
การปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
      
แอนเดอร์สันและแครทโฮล (2001) ได้ปรับปรุงจุดม่งหมายการศึกษาของบลูม (Blooms’ Taxonomy revise) ดัวตารางที่ 4
ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบ 
Blooms’ Taxonomy 1956 และ2001

Bloom (1956) ใช้คำนามในการอธิบายความรู้ประเภทต่างๆ ในฉบับปรับปรุง ปี 2001 ใช้คำกริยาและปรับเปลี่ยนคำว่าความรู้ (knowledge) เป็น ความจำ (Remembering) เมื่อนำมาเขียนจุดมุ่งหมายการศึกษาของหลักสูตรที่อ้างอิงมาตรฐาน (standards – based curriculum) จะเขียนได้ว่า ผู้เรียนควรรู้และทำอะไรได้ (เป็นกริยา) และได้จัดความรู้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ ข้อเท็จจริง (factual) มโนทัศน์ (concept) กระบวนการ (procedural) และอภิปัญญา (meta-cognition) และมีการเปลี่ยนแปลงขั้นพฤติกรรมหลักในกรอบเดิม 2 ขั้น คือ ขั้นความเข้าใจ (comprehension) เปลี่ยนเป็น เข้าใจความหมาย (understand) และขั้นการประเมิน (evaluation) เป็น สร้างสรรค์ (create)
การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษา (Revised’s Blooms’ Taxonomy) ที่กล่าวถึงมิติทางการเรียนรู้ของ Bloom และคณะ (1956) ซึ่งแอนเดอร์สัน และแครทโฮล (Anderson & Karthwohl, 2001) ไดกล่าวถึงรายละเอียดของพฤติกรรมผู้เรียนและผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcome) โดยจำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1) มิติด้านกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Dimension Process)
2) มิติด้านความรู้ (Knowledge Dimension) มิติด้านกระบวนการทางปัญญา ได้แก่ การจำ (Remembering) เรียกความรู้จากหน่วยความจำระยะยาว ความเข้าใจ (understanding) ศึกษาความหมายจากข้อมูลที่เรียนรู้ รวมถึงการพูด การเขียนและการสื่อสารด้ายรูปร่าง การประยุกต์ใช้ (Applying) ประยุกต์ขั้นตอน/กระบวนการในงานที่คุ้นเคย วิเคราะห์ (Analyzing) จำแนกองค์ประกอบและหาความสัมพันธ์เพื่อกำหนดโครงสร้างหรือเป้าหมายใหม่ ประเมิน (Evaluating) ตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์และมาตรฐาน และสร้างสรรค์ (Creating) จัดองค์ประกอบหรือหน้าที่ให้เชื่อมโยงกันไปสู่รูปแบบหรือโครงสร้างใหม่
มิติด้านความรู้ จำแนกระดับความรู้เป็น 4 ระดับ ได้แก่
1) ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง (Factual Knowledge) พื้นฐานของผู้เรียนต้องรู้จักหลักการหรือวิธีการแก้ปัญหา
2) ความรู้ที่เป็นมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบพื้นฐานในโครงสร้างทั้งหมดที่จะทำให้สามารถเชื่อมโยงกันได้
3) ความรู้ในการดำเนินการ (Procedural Knowledge) วิธีการสืบค้นและเกณฑ์การใช้ทักษะ เทคนิควิธีการเพื่อดำเนินการ
4) ความรู้อภิปัญญา (Metacognitive Knowledge) ความรู้จากการรับรู้และความเข้าใจในตนเอง
การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษานี้ได้กล่าวถึงอภิปัญญา (Metacognitive Knowledge) เป็นมิติหนึ่งของความรู้ คือ การมีความรู้ที่มีการเกี่ยวข้องกับความรู้ทางปัญญา โดยทั่วไปรู้ถึงความรู้ในตนเอง ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษานี้มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ระดับอภิปัญญา (Metacognitive Knowledge) ตระหนักรู้ในตนเอง (Meta awareness) การไตร่ตรองย้อนคิดในตนเอง (Self-reflect) และการกำกับดูแลตนเอง (Self-regulation)
เขียนตารางแสดงความสัมพันธ์ของมิติกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Dimension Process) และมิติด้านความรู้ (Knowledge Dimension) ได้ดังนี้

ตารางที่ 5 ความสัมพันธ์ของมิติด้านกระวนการทางปัญญากับมิติด้านความรู้
ที่มา : ปรับจาก Anderson, L.W. Krathwohl, D.R., et al (Eds.) (2001)
       Anderson & Krathwohl (2001) นำเสนอรูปแบบของอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ความรู้ทางปัญญา (Knowledge of Cognition) และกระบวนการในการดูแล ควบคุม กำกับ ติดตามตนเอง โดยแบ่งเป็นอภิปัญญาความรู้ (Metacognitive Knowledge) และอภิปัญญาในการควบคุมตนเอง (Metacognitive Control) และความรู้เกี่ยวกับอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1.ความรู้ในกลยุทธ์วิธีการเรียนรู้ (Strategic knowledge) คือ ความรู้ในกลยุทธ์วิธี การเรียนรู้ การคิดการแก้ไขปัญหาในทุกกลุ่มวิชา
       2.ความรู้ในการเลือกใช้กลยุทธ์และวิธีการเรียนรู้ (Knowledge about Cognitive tasks) คือการเลือกกลยุทธ์ ยุทธวิธีที่เหมาะสมกับภาระชิ้นงาน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในสภาพที่แตกต่างกัน
       3.การรู้ในตนเอง (Self- Knowledge) คือการรู้ถึงความรู้ ความสามารถของตน การประเมินตนเองทั้งจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา และควรพัฒนาตนเองอย่างไรเพื่อให้บรรลุภาระชิ้นงานหรือมีความรู้ที่เพียงพอในการแก้ไขปัญหานั้นๆ
จุดมุ่งหมายของการศึกษาของมาร์ซาโน
      
Marzano & Kendall, (2007) ได้พัฒนาการจัดกลุ่มกิจกรรมการเรียนรู้ขึ้นใหม่ แบ่งเป็น 1) ระบบปัญญา (Cognitive System) 2) ระบบอภิปัญญา (Metacognitive System) และ 3) ระบบตนเอง (Self System) และได้จำแนกอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเป็น 6 ขั้น
      ขั้นที่ 1 การดึงกลับคืนมา ( Retrieval) ได้แก่ การระบุข้อความได้ (Recognizing) การระลึกได้ (Recalling) และการลงมือปฏิบัติได้ (Executing)
      
ขั้นที่ 2 ความเข้าใจ (Comprehension) ได้แก่ การบูรณาการ (Integration) และการทำให้เป็นสัญลักษณ์ (Symbolizing)
      
ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์ (Analysis) ได้แก่ การจับคู่ได้ (Matching) แยกประเภทได้ (Classifying) วิเคราะห์ความผิดพลาดได้ (Analyzing Error) ติดตามได้ (Generalizing) และชี้ให้จำเพาะเจาะจงได้ (Specifying)
      
ขั้นที่ 4 การนำความรู้ไปใช้ (Knowledge Utilizing) ได้แก่ การตัดสินใจ (Decision Making) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทดลองปฏิบัติ (Experimenting) และการสืบค้นต่อไปให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง (Investigating)
      
ขั้นที่ 5 อภิปัญญา (Meta-cognition) ได้แก่การระบุจุดหมาย (Specifying Goals) การกำกับติดจามกระบวนการ (Process Monitoring) การทำให้เกิดความชัดเจนในการกำกับติดตาม (Monitoring Clarity) และการกำกับติดตามตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring Accuracy)
      
ขั้นที่ 6 การมีระบบความคิดของตนเอง (Self-System Thinking) ได้แก่ การตรวจสอบประสิทธิภาพ (Examining Efficacy) การตรวจสอบการตอบสนองทางอารมณ์ (Examining Emotional Response) และการตรวจสอบแรงจูงใจ (Examining Motivation)

       Marzano, (2000) ได้นำเสนอมิติใหม่ทางการศึกษา ดังนี้

ตารางที่ 6 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบตนเอง
 ตารางที่ 7 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบอภิปัญญา
ตารางที่ 8 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบปัญญา


       Marzano, R., & Kendall, J.(2001) นำเสนอระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive System) เป็นระบบที่มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-Directed Learning) ที่มุ่งให้ผู้เรียนควบคุม กำกับ ดูแลการปฏิบัติภาระงานตามเป้าหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การติดตาม ดูแล ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการต่างๆ ตามความจำเป็นและเหมาสมให้ภาระงานนั้นลุล่วงตามภารกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ครู แนวคิดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในด้าน cognitive domain ตามที่มาร์ซาร์โน (Marzono Taxonomy) ได้นำมาเสนอไว้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ Bloom Taxonomy และ Marzono Taxonomy ได้ดังนี้

ตารางที่ 9 การเปรียบเทียบกับ Bloom Taxonomy และ Marzono Taxonomy
ที่มา : สุเทพ อ่วมเจริญ วัชรา เล่าเรียนดี และประเสริฐ มงคล การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ของนักศึกษาวิชาชีพครู คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2559 : 35

       จากตารางเปรียบเทียบสรุปว่า วัตถุประสงค์ตาม Bloom Taxonomy ด้าน Cognitive Domain นั้น Marzono Taxonomy เรียกว่า Cognitive System อีกสองระบบที่เพิ่มขึ้นไม่พบใน Bloom Taxonomy คือ Meta-Cognitive System และ Self-System มาร์ซาโน ได้อ้างถึง แนวคิดของ Sternberg (Marzono  1998 : 54-57) กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของระบบอภิปัญญาที่ใช้ในการจัดการตนเอง (Organizing)      การกำกับติดตาม (Monitoring) การประเมิน (Evaluating) และการควบคุม (Regulating) ซึ่งองค์ประกอบของการรู้คิดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
1. การระบุจุดหมายเฉพาะเจาะจง (Goal Specifying) คือ การกำเนิดจุดมุ่งหมายของชิ้นงาน (the job of the goal) ที่ผู้เรียนตัดสินใจเลือกปฏิบัติ โดยมีการกำหนดผลสำเร็จของงานในแต่ละขั้น
2. การระบุกระบวนการที่ชัดเจน (Process Specifying) คือ การกำหนดความรู้ ทักษะหรือกลวิธี ขั้นตอน/กระบวนการ เพื่อการบรรลุจุดมุ่งหมายของชิ้นงานอย่างเหมาะสม
3. การกำกับดูแลกระบวนการ (Process Monitoring) คือ การติดตามควบคุมแต่ละกระบวนการ แต่ละขั้นตอนในการนำทักษะ กลวิธีไปใช้สร้างสรรค์ชิ้นงานย่างมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ โดยใช้เวลาและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
4. การกำกับดูแลการปฏิบัติงานของตน (Deposition Monitoring) คือ การควบคุมตนเองในการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เพื่อให้งานเกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพ เช่น การให้ความสำคัญกับงาน มุ่งเน้นผลผลิตที่มีความถูกต้อง แม่นยำ ความเป็นระบบ มีแรงจูงใจในการทำงาน มีส่วนร่วมในการทำงาน ฯลฯ
แนวคิดเกี่ยวกับระบบอภิปัญญา (Meta-Cognitive System) ของ Marzono กล่าวสรุปองค์ประกอบของระบบอภิปัญญาได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 1) การกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (Specifying Learning Goal)  2) การกำกับติดตามการปฏิบัติงานขิงกระบวนการทางปัญญา (Monitoring the Execution of knowledge)  3) ดูแลติดตามความชัดเจน (Monitoring Clarity) 4) การกำกับติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring Accuracy)
แนวคิดการกำหนดวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานของกระบวนการคิดร่วมกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความคิดของผู้เรียน ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษาที่มาร์ซาโน (Marzano) พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 ระบบ ได้แก่ 1) Self-System คือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในตนเองในการปฏิบัติภาระชิ้นงานด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ มีความสุข และมีความมุ่งหวังให้เกิดความสำเร็จ 2) Meta-Cognitive System คือ ระบบการควบคุมตนเองให้ปฏิบัติภาระชิ้นงาน ที่เกิดขึ้นให้บรรลุผล ด้วยการกำหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ (Specifying Learning Goals) การดูแลติดตามการปฏิบัติของกระบวนการทางปัญญา (Monitoring the Execution of Knowledge) การดูแลติดตามความชัดเจน (Clarity) และการดูแลติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring Accuracy) 3) Cognitive System คือ กระบวนการทางปัญญา (Mental Process) ที่จะปฏิบัติภาระงานสำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่งระบบอภิปัญญา (Meta-Cognitive System) ถือเป็นระบบที่มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-Directed Learning) ที่ผู้ให้ผู้เรียนควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติภาระงานตามจุดหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ ยุทธวิธีและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการติดตามดูแลปรับปรุงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการต่างๆตามความจำเป็นและเหมาะสมให้ภาระงานนะลุล่วงตามภารกิจซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สอน


การกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมายมี 2 ลักษณะคือ
จุดมุ่งหมาย (goals) ที่มีลักษณะกว้างๆ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่สามารถวัดหรือสังเกตได้ทันที
จุดมุ่งหมายที่มีลักษณะเฉพาะที่สังเกตเห็นพฤติกรรมหรือการปฏิบัติของผู้เรียนได้ บางครั้งเรียกว่าจุดประสงค์การเรียนรู้ (performance objective) จำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือจุดประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพ (poyential performance) จุดประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ (typical performance)
       การเขียนจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจนสื่อความหมายให้เข้าใจในเพียงนัยหนึ่งเดียว
       การระบุสมรรถภาพให้ชัดเจน ควรได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรียนรู้จบรายวิชาแล้วมีความสามารถที่จะทำอะไรได้โดยที่ก่อนเรียนรู้รายวิชานั้นๆยังไม่สามารทำได้
การเชื่อมโยงอดีตกับอนาคตถ้าเป็นไปได้อยากมโนทัศน์จากชั้นเรียนที่ผ่านมาพยายามเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์กับมโนทัศน์ที่จะเรียนในอนาคต
จุดมุ่งหมายกับการทดสอบถ้าเราเขียนจุดมุ่งหมายได้ชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหาจะทำให้สร้างแบบทดสอบได้ง่ายอย่างสามารถกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะให้ได้เป็นอย่างดี

การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก ABCD
A แทน Audience หมายถึง ผู้เรียนที่แสดงพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายและกำหนดเวลา
แทน Behavior หมายถึง พฤติกรรมที่คาดหวังจากผู้เรียนโดยเน้นพฤติกรรมที่สังเกตได้
แทน Condition หมายถึง สภาพการณ์หรือเงื่อนไขที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมที่สามารถวัดได้
แทน Degree หมายถึง ระดับเกณฑ์การวัดที่กำหนดขึ้นมาให้ผู้เรียนปฏิบัติ

การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก SMART
1. S-Sensible & Specific จุดมุ่งหมายต้องเฉพาะเจาะจงชัดเจนจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนที่ดีต้องมีความเป็นไปได้และชี้เฉพาะ
2. M-Measurable จุดมุ่งหมายต้องสามารถรับผลได้ซึ่งช่วยให้ได้ข้อมูลว่าผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรประสบความสำเร็จหรือไม่
3. A-Attainable & Assignable จุดมุ่งหมายต้องเป็นไปได้และผู้เรียนหรือผู้ปฏิบัตินำไปปฏิบัติได้หรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
4. R-Reasonable & Realistic จุดมุ่งหมายต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลกันและเป็นไปได้จริง
5. T-Time Available  จุดมุ่งหมายต้องมีกำหนดเวลาเป็นไปได้ตามเวลาเมื่อเวลาเปลี่ยนไปหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้จุดมุ่งหมายก็ควรเปลี่ยนไปด้วย

จุดมุ่งหมายการศึกษาอิงมาตรฐาน
Harris and Carr (1996 รุ่งนภา นุตราวงศ์, ผู้แปล 2545 14-16) ให้คำจำกัดความของมาตรฐานเนื้อหา (Content Standard) และมาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน (Student Performance Standard) ดังนี้
1. องค์ความรู้ที่สำคัญ (Essential knowledge) ระบุถึงแนวความคิดประเด็นปัญหาทางเลือกกฎเกณฑ์และความคิดรวบยอดในวิทยาการต่างๆที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น
ผู้เรียนสามารถอธิบายช่วงเวลาและเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์และวิเคราะห์ช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่นชุมชนในประเทศและในภูมิภาคต่างๆของโลก
ผู้เรียนสามารถเข้าใจประวัติความเป็นมาและโครงสร้างของภาษาอังกฤษ (ประโยคย่อหน้าบทความ)
ผู้เรียนสามารถเข้าใจธรรมชาติและการทํางานของเซลล์ทั้งการทำงานเป็นเอกเทศและการทำงานร่วมกันเป็นระบบที่ซับซ้อน
2. ทักษะ (Skillsเป็นวิธีการคิดการทำงานการสื่อสารและการศึกษาสำรวจ ตัวอย่าง
ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการบรรยายและอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ใช้ระเบียบวิธีการทางสถิติในการเก็บรวบรวมข้อมูลตีความเปรียบเทียบและสรุปผลเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงอื่นๆในสังคม
3. พัฒนาการด้านจิตใจ (Habits of mind) การเรียนรู้และประสบการณ์จากการศึกษาทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียนมีผลต่อการพัฒนาด้านจิตใจของผู้เรียนรวมถึงกระบวนการในการศึกษาค้นคว้าการแสดงข้อมูลหลักฐานสนับสนุนความคิดการอภิปรายโต้แย้งและความพึงพอใจในการทำงานร่วมกับผู้อื่นตัวอย่าง
ผู้เรียนสามารถประเมินการเรียนรู้ของตนเองโดยการสร้างเกณฑ์เพื่อใช้ประเมินงานที่มีคุณภาพ
ผู้เรียนสามารถแสดงออกถึงความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น การเป็นผู้นำ และความมั่นคงในตนเอง

มาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน
มาตรฐานการปฏิบัติ (Student Performance Standards) จะบอกถึงคุณภาพโดยที่มาตรฐานเนื้อหาจะระบุถึงสิ่งใดที่ผู้เรียนควรรู้และทักษะใดที่ผู้เรียนควรทำได้มาตรฐานการปฏิบัติจะบอกถึงระดับคุณภาพและระดับที่ผู้เรียนต้องรู้หรือต้องทำสิ่งนั้นได้ ตัวอย่าง
กรณีที่มาตรฐานเนื้อหาระบุว่าผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจข้อมูลจากสื่อภาพและบทอ่านจากสื่อต่างๆอย่างหลากหลาย
มาตรฐานการปฏิบัติอาจระบุว่าผู้เรียนควรอ่านหนังสืออย่างน้อยที่สุด 25 เล่มต่อปีเลือกอ่านบทอ่านที่มีคุณภาพทางที่เป็นเรื่องอมตะและเรื่องราวที่ทันสมัยจากหนังสือวรรณกรรมสำหรับเด็กหรือจากแหล่งข้อมูลอื่นๆเช่น จากนิตยสาร หนังสือพิมพ์ หนังสือเรียนและสื่อเทคโนโลยี
Wiggins (1994) จัดกลุ่มมาตรฐานการเรียนรู้ไว้ 4 กลุ่มคือ
1. มาตรฐานผลลัพธ์หรือผลกระทบ (Impact) เป็นมาตรฐานที่ระบุผลที่ต้องการจากการปฏิบัติงานใดงานหนึ่งของผู้เรียน เช่น กำหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์เพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ฟังหรือให้ผู้เรียนเขียนสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือให้ผู้เรียนใช้ความรู้ ทางภูมิศาสตร์ในการวางแผนอนาคต เป็นต้น
2. มาตรฐานกระบวนการ (Process) เป็นมาตรฐานที่สะท้อนยุทธวิธี เทคนิค วิธีการที่เหมาะสมที่ใช้ในการปฏิบัติงาน เช่น มาตรฐานที่กำหนด ให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์อย่างชัดเจน หรือให้ผู้เรียนเขียนสื่อสารได้อย่างสละสลวยสัมพันธ์กันหรือให้ผู้เรียนใช้กระบวนการที่เหมาะสมในการสร้างหรือปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์
3. มาตรฐานเนื้อหา (Content) เป็นมาตรฐานที่ระบุเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด แนวความคิดและข้อมูลต่างๆ เช่น ผู้เรียนรู้สมบัติของสสาร มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายและความต้องการของตลาด เป็นต้น
มาตรฐานที่แสดงกฎหรือรูปแบบ (Rule or form) เป็นมาตรฐานที่เกี่ยวกับสูตร กฎเกณฑ์ซึ่งมีรูปแบบเฉพาะ ปริมาตร ปริมาณ อัตราส่วน ตัวอย่าง ผู้เรียนสร้างกราฟ ซึ่งมีข้อมูลกำกับและใช้สีได้อย่างถูกต้องมาตรฐานนี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ให้ผู้เรียนใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารต่างๆในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ
การกำหนดมาตรฐานในหน่วยการเรียนให้มาจากหลายมาตรฐาน จึงจะช่วยให้กิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินมีความครอบคลุมยิ่งขึ้นการกำหนดมาตรฐานที่เป็นกระบวนการก็จะไม่มีความหลากหลายหากไม่มีเนื้อหาหรือการกำหนดมาตรฐานที่เน้นเนื้อหาเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้เรียนเท่าที่ควร หากไม่มีการนำกระบวนการนำไปปรับใช้ในสถานการณ์ต่างๆ

การวางแผนจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้
         Joyce and Weil, (1996 : 334) อ้างว่า มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ชี้ให้เห็นว่าการสอนมุ่งเน้นการให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนการเรียนการสอนโดยจัดสาระและวิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีทั้งทางด้านเนื้อหาความรู้และการให้ผู้เรียนใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ (Academic Learning) เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด ผู้เรียนมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่เรียนและช่วยให้ผู้เรียนถึง 80%  ประสบความสำเร็จในการเรียนนอกจากนั้นยังพบว่าบรรยากาศการเรียนที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้เรียน สามารถสกัดกั้นความสำเร็จของผู้เรียนได้ ดังนั้น ผู้สอนจึงจำเป็นต้องระมัดระวังไม่ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกในทางลบ เช่น การดูดด่า    ว่ากล่าว แสดงความไม่พอใจ หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน

การเรียนการสอนโดยตรง
การเรียนการสอนโดยตรงประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญสำคัญ 5 ขั้นตอนดังนี้
      ขั้นที่ 1 ขั้นนำ
1.1  ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียนและระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมการเรียนรู้ที่คาดหวังแก่ผู้เรียน
1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียนและความสัมพันธ์กับความรู้ และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนอย่างคร่าวๆ
1.3 ผู้สอนชี้แจงกระบวนการเรียนรู้ และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนแต่ละขั้นตอน 

      ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอบทเรียน
2.1 หากเป็นการนำเสนอเนื้อหาสาระข้อความรู้หรือมโนทัศน์ ผู้สอนควรกลั่นกรอง และสกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น และนำเสนออย่างชัดเจน พร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ    ให้ผู้เรียนเข้าใจ ต่อไปจึงสรุปคำนิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ ก่อนให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติ หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน

      ขั้นที่ 3 ขั้นปฏิบัติตามแบบ (Structured Practice)
ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ ให้การเสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน

      ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การกำกับของผู้ชี้แนะ (Guide Practice)
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยครูผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆผู้สอนจะสามารถประเมินการเรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสำเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียนและช่วยเหลือผู้เรียนโดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียน แก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ

      ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ (Independent Practice)
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่ 4 ได้อย่างถูกต้องประมาณ 85 - 90 %แล้ว ผู้สอนควรปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ เพื่อช่วยให้เกิดความชำนาญและการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที สามารถให้ภายหลังได้ การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทำติดต่อกันในครั้งเดียวควรมีการฝึกเป็นระยะๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนนานขึ้น
ผลที่ผู้ที่เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
การเรียนการสอนแบบนี้เป็นไปตามลำดับขั้นตอนตรงไปตรงมาผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ทั้งทางด้านพุทธิพิสัยและทักษะพิสัยได้เร็ว ไม่สับสนผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามความสามารถของตน จนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน และมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
สรุป การสอนโดยตรงโดยทั่วไปมี 3 ขั้นตอน (http://www2.souteastern.edu/Academics/Faculty/rhancock/theory.htm#DI) ได้แก่
           1. การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
           2.  การนำเสนอข้อมูลใหม่
           3.  การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติ ให้ข้อมูลย้อนกลับและประยุกต์ใช้
ขั้นที่ 1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
สร้างแรงจูงใจผู้เรียน ให้มีแรงจูงใจเพื่อเพียงพอที่จะมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ มีส่วนร่วมในการเรียนรู้และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาระงานที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งเสร็จสิ้น

ขั้นที่ 2 การนำเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
การอธิบาย พยายามใช้การปฏิสัมพันธ์และการป้อนคำถาม ถามทีละขั้นตอน
การสาธิต การเรียนการสอนที่ซับซ้อนปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนด ด้วยเครื่องมือจำกัดและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน
ตำรา ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่า
แบบฝึกหัดสำหรับผู้เรียน การฝึกเขียนการจัดระบบระเบียบและการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ
โสตทัศนูปกรณ์ สร้างความน่าสนใจและแม่นยำในการนำเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
ขั้นที่ 3 การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติ ให้ข้อมูลย้อนกลับและการประยุกต์ใช้
สาระเบื้องต้นคือ การยืนยันความถูกต้อง เพื่อความแน่ใจและการให้แนวคิดและข้อเสนอแนะ
ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะต้องทำงานเป็นรายบุคคล แม้ว่าการทำงานเป็นกลุ่มจะเป็นที่ยอมรับก็ตามโอกาสที่ผู้เรียนจะได้รับ ได้แก่ : การตอบคำถาม การแก้ปัญหา การสร้างโครงสร้าง ต้นแบบวาดแผนภูมิ สาธิตทักษะ เป็นต้น

การเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Method : CLM) มีพื้นฐานแนวคิดที่ว่า ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด ก็ต่อเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง การเรียนแบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจะให้โอกาสผู้เรียน ในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้มีมาก่อน เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง การเรียนรู้จากวิธีการนี้ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สำรวจถึงความเป็น   ไปได้ วิธีคิดแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่นการคิดทบทวนปัญหาและท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเชื่อว่าความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ตามแนวคอนตรัคติวิสท์ (Constructivism) ที่เปลี่ยนแนวคิดในการจัดการศึกษาตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งระบุจุดประสงค์ (Domains of objective) ระดับความรู้ (Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcementเป็นแนวคิดในการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive theory) ที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง (Construct their own knowledgeจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gagnon & Collay 2001 : 1) ที่เป็นผลมาจากประสบการณ์และระเบียบแบบแผนทางความคิดของผู้เรียนแต่ละคน การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ มุ่งเตรียมผู้เรียนให้สามารถแก้ปัญหา ในสถานการณ์ที่คลุมเครือ ทิดสะดีการเรียนรู้
แบบคอนสตรัคติวิสต์สนใจศึกษากระบวนการเรียนรู้ด้วยการกระทำของตนเอง เมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นบุคคลจะใช้โครงสร้างทางปัญญา (Cognitive structure) ที่มีอยู่เดิมทำปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อนๆที่อยู่รอบข้าง ความขัดแย้งทางปัญญา จะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการไตร่ตรอง (Refection) อันเป็นกิจกรรมของการตรวจสอบการปรับเปลี่ยนสมมุติฐานทางความคิดด้วยเหตุและผล        ซึ่งนำไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญาต่อไป

การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Methods : CLM) เชื่อว่า ความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด เมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อนเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริม ให้สำรวจความเป็นไปได้ วิธีคิดแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหาและท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสร้างความต่อเนื่องระหว่างข้อมูลสนเทศใหม่กับความรู้เดิม เรียนรู้เป็นผลของการผลิตหรือการสร้างสรรค์ปัญญา มนุษย์จะเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด ถ้าหากได้ลงมือสร้างความหมายหรือความเข้าใจของตนด้วยตนเอง การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนสร้างโครงสร้างความรู้หรือความเข้าใจอย่างแข็งขัน และมีเจตนามุ่งมั่นชัดเจน โดยผู้เรียนจะสลายความขัดแย้ง (Conflict Resolutionหรือความไม่เข้ากันของแนวคิดหรือข้อมูลต่างๆ โดยการพินิจพิเคราะห์คำอธิบายหรือเหตุผลเชิงทฤษฎีมนุษย์สร้างโลกกระทัดของตนเองขึ้นจากประสบการณ์จริงในเวลานั้น และโครงสร้างความรู้เดิมที่มีอยู่ในรูป Schema มนุษย์ใช้ Schema ในการตีความ หรือสร้างความหมายให้กับประสบการณ์หรือข้อมูลใหม่เมื่อมีการเรียนรู้เกิดขึ้น จะมีการปรับ Scema  มีความครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการตีความที่สูงขึ้น  
การเรียนการสอนผู้เรียนมีความสำคัญในฐานะผู้ที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุหรือปรากฏการณ์ โดยการสังเกต การวัดหรือประมาณการ การตีความ หรือการกระทำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจสร้างความคิดรวบยอดต่อสิ่งเหล่านั้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างแนวทางการแก้ปัญหาของตนเอง ดังนั้น กลุ่ม  จึงเห็นคุณค่าของความคิดริเริ่ม ความเป็นอิสระในความคิดของผู้เรียน และให้ความสำคัญและอิทธิพลของบริบทการเรียนรู้ และภูมิหลังเกี่ยวกับความเชื่อและเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้
Murphy (1997: Online ; citing Glasersfield 1999อธิบายสรุปได้ว่า บุคคลสร้างความรู้โดยอาศัยการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและการสื่อสาร ในขณะที่ตนเองมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทำให้มีการปรับเปลี่ยนหรือจัดระบบประสบการณ์เดิมของตนเองใหม่ ดังนั้นความรู้จึงไม่สามารถถ่ายทอดจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้  กลาเซอร์ฟิลด์  อธิบายการเรียนรู้ว่า ไม่เกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนองแต่การเรียนรู้เกิดจากการกำกับตนเอง (Self-regulation) และการสร้างมโนทัศน์จากการสะท้อนความคิดซึ่งกันและกัน
          เมอร์ฟี (Murphy 1997 : Onlineรวบรวมความคิดของนักการศึกษาต่างๆในการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์  สรุปได้ดังนี้
1.กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้มุมมองที่หลากหลาย ในการนำเสนอความหมายของมโนทัศน์
2.ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมายการเรียนของตนเอง หรือจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน เกิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน
3.ครูผู้สอนแสดงบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ ผู้กำกับ ผู้ฝึกฝน ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนของผู้เรียน
4.จัดบริบทของการเรียน เช่น กิจกรรม โอกาส เครื่องมือสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมวิธีการคิด การกำกับดูแลและการรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
5.ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างความรู้และกำกับการเรียนรู้ของตนเอง
6.จัดสถานการณ์การเรียน สภาพแวดล้อม ทักษะ เนื้อหาและงานที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริง
7.ใช่ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ เพื่อยืนยันสภาพการณ์ที่เป็นจริง
8.ส่งเสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ด้วยการเจรจาต่อรองทางสังคมและการเรียนรู้ร่วมกัน
9. พิจารณาความรู้เดิม ความเชื่อและทัศนคติของนักเรียน ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
10.ส่งเสริมการแก้ปัญหา ทักษะการคิดระดับสูงและความเข้าใจเรื่องที่เรียนอย่างลึกซึ้ง
11.นำความผิดพลาด ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
12.ส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาความรู้อย่างอิสระ วางแผนและการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง
13. ให้นักเรียนได้เรียนรู้งานที่ซับซ้อน ทักษะและความรู้ที่จำเป็นจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
14.ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ของเรื่องที่เรียน
15.อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียน โดยให้คำแนะนำหรือทำงานร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น
16.วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียน ตามสภาพที่เป็นจริงขณะดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนจากแนวคิดของนักการศึกษาดังกล่าว
Gagnon & Collay (2001 : 2ได้เสนอแนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist Learning Desing) ประกอบด้วย  6 ส่วนที่สำคัญได้แก่ สถานการณ์ (Situationการจัดกลุ่ม (Grouping) การเชื่อมโยง (Bridgeการซักถาม (Questions) การจัดแสดงผลงาน (Exhibitและการสะท้อนความรู้สึกในการปฏิบัติงาน (Reflection) โดยในการออกแบบครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ครูผู้สอนวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และสะท้อนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน (Reflection about the process of student learning) กล่าวคือ ครูจะจัดสถานการณ์เพื่อให้นักเรียนอธิบายเรื่องกระบวนการในการจัดกลุ่ม นักเรียนหรือสื่ออุปกรณ์สำหรับใช้ในการอธิบายสถานการณ์พยายามสร้างความเชื่อมโยง (Bridgeระหว่างสิ่งที่เป็นความรู้เดิมของนักเรียนกับสิ่งที่นักเรียนต้องการเรียนรู้
สรุปคุณลักษณะทางทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ มีดังนี้
          1.ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
          2.การเรียนรู้สิ่งใหม่ขึ้นกับความรู้เดิมและความเข้าใจที่มีอยู่ในปัจจุบัน
          3.การมีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมมีความสำคัญต่อการเรียนรู้
4.การจัดสิ่งแวดล้อม กิจกรรมที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริง ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนั้นตัวทฤษฎีเองไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนการสอน ไม่มีลำดับขั้นการสอน Henrique (1997) ได้ศึกษาทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ และตีความทฤษฎีนี้ โดยพิจารณาจากมุมมองด้านปรัชญา ด้านจิตวิทยา ด้านญาณวิทยา และด้านการเรียนการสอน และการจำแนกทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ได้ 4 แนวคิด ได้แก่
1.แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ แบบกระบวนการทางสมองในการประมวลผล (information processing approach) หรือแนวคิดแบบการประมวลผลข้อมูลนั้น ใช้พื้นฐานที่ว่านักเรียนเรียนรู้สิ่งที่เป็นความจริง ไม่ว่าจะเรียนจากครูหรือการได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ โดยการประมวลผลข้อมูลนี้ ใช้หลักว่า มีความจริงที่เป็นกลาง ที่สามารถวัดและทำเป็นแบบได้ ตามหลักปรัชญาของพอสิทิวิสต์
2.แนวคิดอินเตอร์เอกทีฟคอนสตรัคติวิสท์ (interactive constructivist approach )  แนวคิดแบบอินเทอแรกทิฟคอนสตรักติวิสต์  เป็นมุมมองที่ว่านักเรียนสร้างความรู้และเรียนรู้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่จับต้องได้และผู้คนรอบข้าง
3.แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม (Social constructivist approach) แนวคิดแบบโซชัลคัน                  สตรักติวิสต์  แนวคิดนี้ใช้หลักการว่า ความรู้เกิดขึ้นในระดับชุมชนเมื่อผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั้นมีปฏิสัมพันธ์กัน
4.แนวคิดเรดิคอลคอนตรักติวิสต์ (Radical constructivist approach) แนวคิดแนวคิดเรดิคอลคอน  ตรักติวิสต์ แนวคิดนี้เชื่อว่าความคิดมากมายหลากหลายล้วนแต่มีทางที่จะเป็นจริงได้ แนวคิดนี้จึงบอกว่าไม่มีความคิดใดเป็นจริงมากกว่ากัน
แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ ทั้ง 4 แนวคิด มีข้อตกลงเบื้องต้นที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เหมือนกัน สรุปได้ 3 ประการคือ
1.การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของตน ไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้แทนกันได้
2.ความรู้ ความเข้าใจและความเชื่อที่มีอยู่เดิมส่งผลต่อการเรียนรู้
3.ความขัดแย้งทางความคิดเพื่ออำนวยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้เพื่อลดความขัดแย้งทางความคิด
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนทางการศึกษา กล่าวคือ เปลี่ยนจากรูปแบบการศึกษาที่มีอยู่บนพื้นฐาน ตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ซึ่งเน้นในเรื่องเชาว์ปัญญา จุดประสงค์ ระดับความรู้ และการให้แรงเสริม มาเป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิดซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ที่มีความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ข้อตกลงเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์
1.ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ เมื่อทำกิจกรรมการเรียนรู้
2.ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือสร้างความหมายเมื่อผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม
3.ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสังคม เมื่อต้องการนำความหมายที่ตนเองสร้างขึ้นไปมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
 การเรียนรู้แบบสร้างความรู้ด้วยตนเองสรุปได้ 3 ขั้น ดังนี้
1.การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
2.การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
3.การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่

ขั้นตอนที่ 1  การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
ผู้เรียนแต่ละคนต่างมีความคิดดั้งเดิมและมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกหรือปรับเปลี่ยนมโนทัศน์ (แนวคิด) ดังกล่าว ความคิดของผู้เรียนนั้นท้าทายความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง ชักชวนให้ผู้เรียนเปลี่ยนแนวคิดและยอมรับความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 1
สัมภาษณ์หรืออภิปรายกลุ่ม
แบ่งกลุ่มข้อมูลหรือจำแนกข้อมูล
แบ่งกลุ่มข้อมูล เรียงลำดับข้อมูลตามลักษณะบางประการ  (เช่น มวลสาร)
จำแนกข้อมูล จัดกลุ่มวัตถุ โดยใช้ลักษณะทางคุณภาพหรือปริมาณ (สี รูปร่าง ขนาด)
แผนที่ความคิดหรือแผนผังมโนทัศน์ ระดมสมองที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก
เหตุการณ์ที่ขัดแย้ง เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล

ขั้นตอนที่ 2  การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
การวางแผนแบบร่วมกัน : การวางแผนเครื่องมือที่สร้างแรงจูงใจให้เข้มแข็ง ผู้เรียนได้รับข้อมูลว่าต้องเรียนรู้อะไรจากหัวข้อใดบ้าง อภิปรายกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ให้ขอบข่ายสาระสำคัญในเรื่องที่เรียนรู้
กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 2
นักจัดการขั้นสูง (Advance Organizersข้อมูลใหม่เชื่อมโยงเข้ากับความรู้เก่าที่มีอยู่แล้วได้อย่างไร
อภิปัญญา (Meta-Cognition) ผู้เรียนกำกับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้นำในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เทคนิควิทยาศาสตร์ (Techno-Scienceing) ใช้กิจกรรมเป็นฐานประกอบคำอธิบายตัดสินใจด้วยตนเอง ปรัชญาส่วนบุคคล การใช้ความคิดอุปมาอุปมัย ใช้แนวคิดที่คุ้นเคย นำแนวคิดแบบอุปมาอุปมัยมาใช้
ขั้นตอนที่ 3  การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ผู้เรียนได้รับข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้
ความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นของคนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ความรู้ถูกทำให้กระจ่างและยืนยันความถูกต้องเมื่อผู้เรียนนำความรู้ใหม่มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์
ความรู้ได้รับจะถูกปรับแต่งตามข้อมูลย้อนกลับที่ได้รับ
กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 3
-การเรียนรู้แบบร่วมมือ สร้างความเข้าใจและแสดงออกในรูปการใช้โมเดล
ช่วยในการสร้างความเข้าใจ และยังสาธิตมโนทัศน์ของความเข้าใจ หลักการ และกระบวนการที่เป็นเลิศ เทคนิคที่ใช้ในการแสวงหาความรู้และการยืนยันความถูกต้องของความรู้
-การทดลอง/การออกแบบและเทคโนโลยี
 ใช้สืบเสาะหาความรู้เป็นฐาน
-วิธีการบูรณาการ
  สร้างความเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อ คำถามและแนวคิดอื่นๆ
-สาขาวิชา (แนวคิดหลัก)
  การประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงสอดคล้องทิดสะดีและการปฏิบัติ

กลยุทธ์การสอนที่มีประสิทธิภาพตามแนวคิดของมาร์ซาโน
การตั้งจุดมุ่งหมาย/จุดประสงค์ (Setting Objective) แนวทางการตั้งจุดประสงค์ มีดังนี้ 
1) ตั้งจุดประสงค์ให้ชัดเจนตามเกณฑ์แต่ไม่ตายตัว 
2)สื่อสารจุดประสงค์ให้กับผู้เรียนและครอบครัวได้เข้าใจตรงกัน 
3) เชื่อมโยงจุดประสงค์การเรียนรู้กับสิ่งที่เรียนรู้เดิมและการเรียนรู้ใหม่ 
4) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้ของตนการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Providing Feedback) การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เกี่ยวกับจุดประสงค์การเรียนรู้และนำไปสู่การพัฒนาการปฏิบัติและความเข้าใจ ซึ่งแนวทางการให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพ มีดังนี้ 
1) ข้อมูลย้อนกลับจะต้องมีความถูกต้องและละเอียดในสิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้และเป็นประโยชน์ต่อไป
2) การให้ข้อมูลย้อนกลับควรคำนึงถึงเวลาที่เหมาะสมและจำเป็น  
3) การให้ข้อมูลย้อนกลับควรมีเกณฑ์อ้างอิงชัดเจน  
4) ควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลย้อนกลับ
การให้การเสริมแรง (Reinforcing Effort) มีวิธีการดังนี้ 
1) สอนนักเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเสริมแรงและผลสัมฤทธิ์  
2) แจ้งผู้เรียนให้ชัดเจนในวิธีการ กระบวนการในการให้แรงเสริม  
3) ถามผู้เรียนถึงผลที่เกิดจากการเสริมแรงสู่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
การให้การยอมรับ (Providing Recognition) มีวิธีการดังนี้ 
     1) ส่งเสริมเป้าหมาย มุ่งเน้นการเป็นผู้รอบรู้  
     2) ให้การยกย่อง สำหรับสิ่งที่เป็นไปตามคาดหรือทั้งในด้านการปฏิบัติและพฤติกรรม  
     3) ใช้สัญลักษณ์ที่เป็นรูปประธรรมในการแสดงการยอมรับเป็นการให้รางวัล
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีวิธีการดังนี้  
     1) ควรยึดหลักของการมีปฏิสัมพันธ์ทางบวกและการรับผิดชอบในความสำเร็จส่วนบุคคล  
     2) จัดเป็นกลุ่มเล็ก  3-5 คน  3) ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างสอดคล้องและเป็นระบบ
การใช้คำแนะนำและคำถาม (Cues and Questions) มีวิธีการดังนี้    
     1) ใช้เฉพาะประเด็นที่สำคัญ  
     2) ให้คำแนะนำที่ชัดเจน 
     3) คำถามเชิงอนุมาน 
     4) คำถามเชิงวิเคราะห์
การให้มโนทัศน์ล่วงหน้า (Advance Organizers) มีวิธีการดังนี้ 
     1) ใช้การอธิบายในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า  
     2) ใช้การบรรยายในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า  
     3) ใช้สรุปภาพรวมในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า  
     4) ใช้กราฟิกในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า
การใช้ภาษากายแสดงออก (Nonlinguistic Representation) มีวิธีการดังนี้     
1) ใช้กราฟิกในการนำเสนอ  
2) จัดกระทำหรือทำตัวแม่แบบ  
3) ใช้รูปแสดงความคิดนำเสนอ  
4) สร้างรูปภาพ,สัญลักษณ์
สรุปและจดบันทึก มีวิธีการดังนี้  
1) สอนนักเรียนให้รู้จักวิธีการบันทึก สรุป ที่มีประสิทธิภาพ  
2) ใช้แบบฟอร์มการสรุป  
3) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการบันทึกการสอนซึ่งกันและกันการให้การบ้าน (Assigning Homework) มีวิธีการดังนี้  
1) พัฒนาและสื่อสารนโยบายการมอบหมายการบ้านของโรงเรียน  
2) ออกแบบการบ้านที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ทางวิธีการ  
3) ให้ข้อมูลย้อนกลับในงานที่มอบหมายการให้ฝึกปฏิบัติ (Providing Practice) มีวิธีการดังนี้ 
1) ต้องบอกวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติอย่างชัดเจน  
2) ออกแบบการปฏิบัติที่เจาะจงและเวลาที่เหมาะสม  
3) ให้ทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหาการบอกความเหมือนและความแตกต่าง (Idenyifying Similarity) มีวิธีการดังนี้  
1) วิธีการบอกความเหมือนความแตกต่างที่หลากหลายวิธี  
2) แนะนำนักเรียนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการของการกำหนดความเหมือนความแตกต่าง 
3) ให้คำแนะนำที่ช่วยให้นักเรียนกำหนดความเหมือนความแตกต่างได้การสร้างและทดสอบสมมติฐาน (Generating and testing Hypotheses) มีวิธีการดังนี้
1) ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ในรูปแบบการสร้างและทดสอบสมมติฐานที่หลากหลาย 
2) การให้นักเรียนอธิบายสมมติฐานและข้อสรุป

สรุป
มิติใหม่อนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามแนวคิด Bloom’s Taxonomy และ Marzono’s Taxonomy เป็นแนวทางให้นักศึกษาวิชาชีพครูสามารถจัดการเรียนรู้และจัดการชั้นเรียนด้วยการกำหนดจุดหมายรวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ยุทธวิธีและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการติดตามดูแลปรับปรุงออกแบบ และพัฒนาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน) ได้แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริม Meta-cognition สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู นักศึกษามีแนวทางในการพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในการกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้และการกำกับตนเองให้ไปถึงจุดหมายดังกล่าว อันเป็นประโยชน์โดยตรงกับการพัฒนาวิชาชีพครู







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น