บทบาทของครู
ประเด็นที่ว่า RTI (Response to Instruction หรือการตอบสนองต่อการเรียนการสอน)
อาจส่งผลกระทบต่อบทบาทของครูได้นั้น ยังไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม
ดูเหมือนว่าผู้เชี่ยวชาญที่เดิมเคยใช้เวลาไปในการจัดการทดสอบระดับสติปัญญา(IQ tests) นั้น
จะต้องรับผิดชอบต่อการให้ความสำคัญของการประเมินผลที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือมากขึ้น
(Fletcher และคณะ, 2004)
สำหรับแผนงานต้นแบบหนึ่งแผนงานนั้น นักการศึกษาสายสามัญ
จะรับผิดชอบเบื้องต้นในเรื่องการเรียนการสอน การติดตามผล และการพัฒนาในช่วงชั้นที่
1, 2 และ 3
แต่ว่านักการศึกษาด้านการศึกษาพิเศษ
จะต้องรับผิดชอบเรื่องการเรียนการสอนและการติดตามผลในช่วงชั้นที่ 4 (Mastropieri & Scruggs, 2005) แต่ถึงกระนั้น
ก็ยังเป็นที่คาดหวังว่า นักการศึกษาทั้งสายสามัญและการศึกษาพิเศษ
จะมีบทบาทในการทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการใช้วิธีการแก้ปัญหา (Batsche และคณะ,
2005)
หลักฐานในความมีประสิทธิภาพของ
RTI
RTI ได้รับการรับรองจากนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ
รวมทั้งองค์กรของรัฐจำนวนมาก (Fletcher
และคณะ, 2004;
Fuchs และคณะ, 2003)
การศึกษาวิจัยที่ใช้แบบอย่างของการบำบัดตามมาตรฐานที่มีการควบคุม
แสดงถึงผลกระทบสำคัญของวิธีการ RTI
ต่อความก้าวหน้าของเด็ก
(Marston, 2005) หลักฐานที่บ่งบอกถึงความมีประสิทธิภาพของแบบอย่างวิธีการแก้ปัญหานั้น
ยังมีน้อย และยังไม่สามารถทำให้เกิดแรงจูงใจเท่าใดนัก (Fuchs และคณะ,
2003; Kovaleski, Gickling, Morrow,
& Swank, 1999; Marston, 2005;
Tilly, 2003)
ไม่มีวิธีการไปสู่เป้าหมายใด
ที่จะไม่มีปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ปัจจุบัน วิธีการ RTI อาจจะใช้ไม่ได้กับคนหมู่มาก
(Fuchs และคณะ, 2003)
ทางด้านการให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นในส่วนของครู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กรณีของการให้ความช่วยเหลือเป็นรายบุคคล (Gersten
& Dimino, 2006; Mastropieri & Scruggs, 2005) ในขณะที่การแก้ปัญหาด้วยแนวคิดความขัดแย้งของระดับสติปัญญาและผลสัมฤทธิ์
(IQ-achievement
discrepancy) นั้น
ความสำคัญอยู่ที่ความถูกต้องในการนำไปใช้ (Fuchs
& Fuchs, 2006; Johnson, Mellard, & Byrd, 2005; Mastropieri & Scruggs, 2005)
แต่ก็ยังคงมีข้อกังขาในวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวอยู่ (Telzrow, McNamara, &
Hollinger, 2000)
และยังมีการชี้ให้เห็นด้วยว่า มีหลักเกณฑ์บางประการสำหรับการแยกแยะระหว่างการ ‘ไม่ตอบสนองต่อการเรียนการสอน’ และ ‘ตอบสนองเล็กน้อยต่อการเรียนการสอน’ ซึ่งออกจะยากต่อการลงความเห็นว่า
วิธีนี้ใช้ได้ผลดีมาโดยตลอด (Kavale
และคณะ, 2005) และวิธีการนำ RTI ไปใช้ในระดับมัธยมศึกษาเอง
ก็ยังไม่มีความชัดเจนนัก (Mastropieri
& Scruggs, 2005)
นอกจากนี้
ยังมีการวิจารณ์ถึงเรื่องการเน้นความสำคัญของ RTI ในเรื่องความบกพร่องทางการอ่าน
วิธีการสร้างแนวคิด (Conceptualization)
ในปัจจุบันของ ‘ความบกพร่องทางการเรียนรู้’ ประกอบด้วย
ความบกพร่องของความสามารถในการเรียนรู้เรื่องการคำนวณ การเขียน และการอ่าน ดังนั้น
RTI จึงถูกมองว่าเป็นวิธีการที่ยังใช้ไม่ได้ผลเพียงพอจากการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้
(Johnson และคณะ, 2005; Kavale และคณะ,
2005; Mastropieri & Scruggs, 2005) บรรดานักวิจารณ์ยังกล่าวหาด้วยว่า
ถ้าไม่นับเรื่องความสามารถในการรับรู้โดยทั่วไปแล้ว RTI ยังพลาดการบันทึกผลความล้มเหลวทางการเรียนรู้ที่ไม่ได้คาดคิดไว้ด้วย
(Kavale และคณะ, 2005)
อย่างไรก็ดี ด้วยมุมมองทางด้านการเรียนการสอน
RTI อาจนำไปใช้กับเนื้อหาสาระทางวิชาการใดก็ได้
ที่สามารถใช้เกณฑ์วัดผลที่ให้ข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนเป็นประจำได้ (Batsche และคณะ,
2005)
แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว
เกณฑ์วัดผลเหล่านี้จะยังคงมีการปรับปรุงต่อไปโดยมีการบันทึกเป็นเอกสารไว้ไม่ดีนัก
แต่ก็ถือว่า ยังมีโอกาสที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นได้ต่อไป
ความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นกับวิธีการระบุว่าเด็กมีความบกพร่องทางการเรียนรู้
และการออกแบบการให้ความช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม อาจถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง
อีกทั้ง RTI เองก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของหน่วยงานศูนย์วิจัยทางความบกพร่องทางการเรียนรู้แห่งชาติ
(National Research
Center on Learning Disabilities) และหน่วยงานสำนักงานการศึกษาพิเศษ
(Office of Special
Education Programs) อยู่
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า
ยังมีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับวิธีการนี้ให้มากขึ้น ก่อนที่ RTI จะเป็นที่ยอมรับในฐานะของวิธีการระบุความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่ใช้ได้ผลอย่างแท้จริง
(Fuchs และคณะ, 2003)
การออกแบบการเรียนรู้ที่ใช้ได้ทั่วไป/ที่เป็นสากล
การออกแบบการเรียนรู้ที่ใช้ได้ทั่วไป/ที่เป็นสากล
คือการทบทวนแนวคิดการออกแบบหลักสูตรโดยใช้ความหลากหลายของเด็กนำหน้า
และสนับสนุนการออกแบบหลักสูตรต่าง ๆ
ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและมีความสะดวกมากขึ้นต่อความต้องการที่หลากหลายของเด็ก (Rose & Meyer 2002)
การออกแบบการเรียนรู้ที่ใช้ได้ทั่วไป/ที่เป็นสากล (Universal Design for Learning หรือ UDL) เป็นวิธีการใหม่ของการจัดหลักสูตร
(เป้าหมาย อุปกรณ์ วิธีการ และการประเมินผล)
ที่วางพื้นฐานไว้เป็นอย่างดีด้วยความเชื่อที่ว่า ผู้เรียนทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และเป็นผู้นำเอาจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันเข้ามาในชั้นเรียน (Rose & Meyer, 2002) อันที่จริง ในชั้นเรียนทุกวันนี้ มีความแตกต่างอย่างไม่น่าเชื่อ
เกิดขึ้น ทั้งยังเป็นที่รวมของเด็กจากต่างวัฒนธรรม ซึ่งมีภูมิหลังทางเศรษฐกิจสังคม
และกลุ่มของความพิการที่แตกต่างกัน ในทางตรงกันข้าม
การเรียนในหลักสูตรดั้งเดิมนั้น เป็นแบบที่เรียกว่า ‘ขนาดเดียวใส่ได้ทุกคน’ (one-size-fits-all) ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้เหมาะกับความต้องการของเด็กที่เป็น
‘แบบฉบับ’ (typical) ผลลัพธ์คืออุปสรรคนานัปการ
ที่เกิดขึ้นกับเด็กที่หลุดออกไปจากการจัดหมวดหมู่ที่จำกัดอยู่ในวงแคบ เป็นต้นว่า
อุปสรรคที่มาขัดขวางการเข้าถึง การมีส่วนร่วม และโอกาสความก้าวหน้าในหลักสูตรปกติ
(Hitchcock, Meyer,
Rose, & Jackson, 2002)
UDL คือ
การทบทวนแนวคิดในการออกแบบหลักสูตรโดยใช้ความหลากหลายของเด็กนำหน้า
และสนับสนุนการออกแบบหลักสูตรต่าง ๆ
ที่มีความยืดหยุ่นและมีความสะดวกมากขึ้นต่อความต้องการที่หลากหลายของเด็ก (Rose & Meyer, 2002) แนวคิด UDL ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบที่ใช้ได้ทั่วไป/ที่เป็นสากลทางด้านสถาปัตยกรรม
เป็นความพยายามในการออกแบบโครงสร้าง โดยคำนึงถึงผู้มีศักยภาพที่จะใช้ทั้งหมด
มาผสมผสานกันเข้า ได้เป็นลักษณะเฉพาะ เช่น ทางลาด และลิฟต์ ขึ้นมาเป็นจุดตั้งต้น (Connell และคณะ,
1997) ลักษณะเฉพาะต่าง ๆ
ที่ช่วยให้เข้าถึงผู้ใช้งานได้นี้
อาจนำมาผสมผสานกันได้อย่างสวยงามและราคาไม่แพงในการทำงานระดับออกแบบ
ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากการหาทางเข้าถึงผู้ที่มีความพิการ/บกพร่องแต่ละรายแล้ว
ลักษณะเฉพาะเหล่านี้ ยังเอื้อประโยชน์ให้แก่คนส่วนใหญ่ อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
จึงทำให้มีการนำไปใช้งานกันอย่างแพร่หลาย (Rose
& Meyer, 2002) UDL เอง ก็ใช้กลวิธีเดียวกันนี้กับการจัดทำหลักสูตร
โดยการพิจารณาความต้องการของเด็กโดยรวมในชั้นตอนของการออกแบบ
และสร้างลักษณะเฉพาะต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการเข้าถึงได้ครบถ้วน นอกจากนี้ UDL ยังขยายแนวความคิดของการออกแบบเพื่อการเรียนรู้ที่ใช้ได้ทั่วไป/ที่เป็นสากล
โดยนำลักษณะเฉพาะต่าง ๆ มาผสมผสานให้เกิดเป็นความสามารถสูงสุด
ทั้งในการเข้าถึงข้อมูล และการเข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ (Rose & Meyer, 2002) เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญใน UDL ความยืดหยุ่นได้ของ UDL ทำให้สามารถค้นหาวิธีการแก้ปัญหาที่ใช้ได้จริงและมีความสง่างามได้
ที่มาของคำแนะนำและแรงบันดาลใจอีกแหล่งหนึ่งของ UDL คือ วิชาประสาทวิทยา(Neuroscience) งานวิจัยทางด้านประสาทวิทยา
เสนอแนะถึงการเกิดขึ้นของเครือข่ายงานเกี่ยวกับระบบประสาทที่กว้างขวาง 3 เครือข่าย
ที่จะมาช่วยตรวจสอบมุมมองพื้นฐาน 3 ด้านของการเรียนรู้ (คือ การรับรู้รูปแบบ, การวางแผนและการก่อกำเนิดรูปแบบ, การคัดเลือกและการจัดเรียงลำดับรูปแบบ [Cytowic, 1996;
Luria, 1973; Rose & Strangman, in
review]) UDL ได้ระบุตัวตั้งต้นทั้งสามนี้ว่า
เครือข่ายการรับรู้ เครือข่ายกลวิธี และเครือข่ายทางอารมณ์ความรู้สึก (Cytowic, 1996;
Luria, 1973; Rose & Strangman, in
review; Rose & Meyer, 2002)
ทุกเครือข่ายจะทำหน้าที่ตามลำดับ อย่างสอดคล้องกับปัจจัยทางการเรียนรู้
ที่ต้องดำเนินการในชั้นต้นก่อน ซึ่งได้ถูกกำหนดไว้แล้วโดยนักจิตวิทยาพัฒนาการชื่อ Lev Vygotsky (1962/1996)
ผู้มีผลงานทางด้านการศึกษาที่เป็นที่ยอมรับนับถืออย่างยิ่ง ประกอบด้วย 1)
การรับรู้ข้อมูลที่จะต้องเรียนรู้ 2) การใช้กลวิธีต่าง ๆ
เพื่อให้ปฏิบัติตามข้อมูลนั้น และ 3) ความมีใจจดจ่อในเรื่องงานที่ต้องทำเพื่อการเรียนรู้
สำหรับลักษณะเด่นของแนวคิด UDL
นั้น
อยู่ที่ความสามารถทั้งสามส่วนดังกล่าว
จะเป็นที่รู้กันดีว่ามีความแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน
หลักการทั้งสามของ UDL นำไปสู่การออกแบบหลักสูตรที่มีความยืดหยุ่น
ซึ่งต้องอาศัยทางเลือกต่าง ๆ ที่แฝงอยู่
มาช่วยสนับสนุนความแตกต่างในเครือข่ายการรับรู้ เครือข่ายกลวิธี
และเครือข่ายทางอารมณ์ความรู้สึก:
เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ให้ได้ผล
จะต้องจัดเตรียมวิธีการนำเสนอที่มีความยืดหยุ่น เพื่อดึงความสนใจเด็กไว้หลาย ๆ แบบ
เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ในกลวิธีต่าง
ๆ จะต้องจัดเตรียมวิธีการฝึกแสดงความรู้สึกออกมา และโอกาสที่จะได้ฝึกฝน
ที่มีความยืดหยุ่นไว้ หลาย ๆ แบบ
เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ที่ได้ผล
จะต้องจัดเตรียมทางเลือกที่ยืดหยุ่น หลายๆ ทาง เพื่อเป็นข้อตกลง (Rose & Meyer, 2002)
เมื่อนำหลักการ 3 ประการดังกล่าวมาใช้ จะทำให้องค์ประกอบต่าง
ๆ ของหลักสูตร คือ เป้าหมาย วิธีการ อุปกรณ์ และการประเมินผล
เกิดความยืดหยุ่นขึ้นมาได้ เช่นในการประเมินผล
จะมีการใช้สื่อหลายประเภทในรูปแบบต่าง ๆ และมีทางเลือกต่าง ๆ ในการตอบสนอง
เพื่อที่เด็กจะได้ไม่มีความสับสนระหว่างความรู้กับทักษะ ที่เกิดจากความสามารถในการเรียนรู้สื่อของตน
(Rose & Dolan, 2000) นอกจากนี้ ในระหว่างการทดสอบ เด็ก ๆ
จะมีโอกาสเข้าถึงความช่วย เหลือในแบบเดียวกันกับที่เคยได้รับจากการเรียนการสอน
นอกเสียจากความช่วยเหลือนั้น จะทำให้มีผลเสียกับวัตถุประสงค์ในการประเมินผล (Dolan & Hall, 2001; Rose & Meyer, 2002) แต่โดยหลักการแล้ว การวัดผลแบบอิงหลักสูตร
จะใช้กับการประเมินผลที่มีความต่อเนื่อง
เพื่อหาช่องทางไปสู่วิธีการเรียนรู้และการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ (Rose & Dolan, 2000)
สำหรับครูที่ยังมีความสงสัยในวิธีการปรับแต่งการเรียนการสอนนั้น
หน่วยงานศูนย์ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพิเศษ (Center
for Applied Special Technology หรือ
CAST) ได้คิดประดิษฐ์วิธีการสอนทั่วไป
ที่จะมาสนับสนุนหลักการ UDL
แต่ละหลักการขึ้นมาใหม่
3 ชุด (ดูภาพ 1; Rose
& Meyer, 2002)
วิธีการสอนที่ว่านี้ สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทางด้านประสาทวิทยา
ในการทำหน้าที่ของแต่ละเครือข่ายการเรียนรู้
ผนวกกับความเข้าใจในวิธีการนำสื่อที่เป็นระบบดิจิตอล (digital media) หรือสื่อที่แสดงผลด้วยตัวเลข
มาทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ตัวอย่างเช่น วิธีการสอนแบบที่ 3
ที่จะมาช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ที่จะรับรู้
เป็นการจัดทำสื่อและรูปแบบหลายประเภทในระบบดิจิตอล ด้วยการสอนวิธีนี้
จะทำให้เห็นความจริงว่า เครือข่ายของการรับรู้
สามารถเน้นความสำคัญได้โดยวิธีบำบัดด้านการรับ-ส่งความรู้สึก
และยอมรับว่าวิธีการบำบัดในรูปแบบของการนำเสนอที่เหมาะ สมที่สุดสำหรับเด็กแต่ละคนนั้น
อาจแตกต่างกันได้ แม้ว่าวิธีการนำเสนอสื่อและรูปแบบหลายประเภท
ออกจะเป็นเรื่องท้าทายสำหรับชั้นเรียน
เนื่องจากข้อจำกัดให้ใช้ได้เพียงเอกสารและรูปภาพที่พิมพ์ลงในกระดาษ (hard copy) เท่านั้นก็ตาม
แต่การนำอุปกรณ์การเรียนการสอนในระบบดิจิตอลมาใช้ ก็น่าจะมีความเป็นไปได้
นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่แสดงว่า อุปกรณ์ในระบบดิจิตอลและวิธีการสอนแบบ UDL นั้น จะช่วยให้การใช้ UDL ประสบความสำเร็จง่ายขึ้น
รูปภาพ 1.
หน่วยงาน CAST ได้พัฒนาวิธีการสอนตามแบบ UDL ขึ้นมา 3 ชุด เพื่อช่วยเหลือครู
ในการสนับสนุนเครือข่ายด้านการรับรู้ เครือข่ายด้านกลวิธี
และเครือข่ายด้านอารมณ์ความ รู้สึก ที่มีความหลากหลายต่างกันไปของผู้เรียน
หน่วยงาน CAST ทำงานร่วมกับโรงเรียนต่าง ๆ ในการใช้และวิจัยหลักสูตร UDL รวมทั้งวิธีการเรียนการสอนแนวใหม่ของ UDL ตัวอย่างเช่น CAST
ได้พัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่านด้วยสื่อดิจิตอล
ซึ่งผสมผสานวิธีการสอนเรื่องความเข้าใจในการอ่านที่อิงงานวิจัยเข้ากับลักษณะเฉพาะของ
UDL ไว้ด้วย ลักษณะเฉพาะต่าง ๆ เหล่านี้
ประกอบด้วยอุปกรณ์เปลี่ยนข้อความเป็นเสียงพูด
และสื่อมัลติมีเดียที่แสดงคำอธิบายศัพท์สองภาษา เพื่อช่วยเรื่องความแตกต่างในการรับรู้
ความท้าทายและความช่วยเหลือทางด้านการเรียนการสอนในหลาย ๆ ระดับ
วิธีการตอบสนองหลากหลายวิธี เพื่อรองรับความแตกต่างกันในกลวิธี
การเลือกใช้ตัวอักษรที่เคลื่อนไหวได้จำนวนมากมาช่วยสอน
การให้ความช่วยเหลือต่างประเภทกันไป และทางเลือกในการตอบสนองเพื่อรองรับความแตกต่างของความมีใจจดจ่อต่อการเรียนของเด็ก
(Dalton & Coyne,
2002; Dalton, Pisha, Eagleton, Coyne,
& Deysher, 2002; Dalton, Schleper, Kennedy,
& Lutz, 2005; Proctor, Dalton, & Grisham,
in press; Strangman, 2003) นอกจาก นี้
CAST ยังกำลังดำเนินการวิจัยเรื่องสภาพแวดล้อมแบบอิงเทคโนโลยี
เพื่อจัดทำรายงานที่เป็นวิทยาศาสตร์
ซึ่งมีการผสมผสานกลวิธีการเขียนแบบอิงงานวิจัยกับการวัดผลแบบอิงหลักสูตร
ซึ่งอาศัยความช่วยเหลือที่มีความยืดหยุ่นของ UDL (Murray & Hall, 2006) หน่วยงาน CAST
กำลังทำงานเรื่องนี้กับเด็กหลากหลายกลุ่ม
ซึ่งรวมถึงเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เด็กหูหนวกหรือมีปัญหาทางการได้ยิน
เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านความรู้คิด และเด็กที่เรียนภาษาอังกฤษ สาระหลักของ UDL กำลังปรากฏชัดในงานวิจัยในวงกว้างมากขึ้นตามลำดับ
งานวิจัยดังกล่าวรายงานถึงการใช้เทคโนโลยีแนวใหม่สำหรับการเรียนการสอนเป็นรายบุคคล
(Erdner, Guy, &
Bush, 1998; Hay, 1997;
MacArthur & Haynes, 1995)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น