การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
(Universal
Design for Instruction)
U
: การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล (Universal Design for
Instruction UDI) เป็นการ
ออกแบบการสอนที่ผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้ดําเนินการเชิงรุก (proactive-การกระทําโดยไม่ต้องมีสิ่งใดมากระตุ้น)
เสี่ยวกับการผลิตและหรือจัดหาจัดทําหรือชี้แนะผลิตภัณฑ์การศึกษา (educational
products (computers, websites, Software, textbooks, and lab equipment) และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้(dormitories, classrooms, student union
buildings, libraries, and distance learning courses) ที่จะระบุถึงในทุกขั้นตอนของการเรียนการสอน
การออกแบบการเรียนการสอนนําความรู้จากหลายสาขาวิชามาประยุกต์เข้าด้วยกันเป็นขั้นตอน
กระบวนการเชิงระบบเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
โดยพื้นฐานแล้ววิธีการเชิงระบบกําหนดให้ต้องระบุว่า จะเรียนอะไร
วางแผนการสอนว่าจะยอมให้การเรียนรู้อะไรเกิดขึ้น วัดผลการเรียนรู้เพื่อตัดสินว่า
การเรียนรู้ นั้นบรรลุตามจุดประสงค์หรือไม่และกลั่นกรองตัวสอดแทรก (intervention) จนกระทั่งบรรลุจุดประสงค์ จาก
ลักษณะนี้เองจึงทําให้เกิดแบบจําลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไป (generic
Instruction Design model : ID model) ขึ้น (Gibbons 1981 :
5, Hannum and Hansen, 1989)
เกี่ยวกับระบบการเรียนการสอนนี้
แฮนน้มและบริกส์ (Harnum
and Briggs) ได้เปรียบเทียบการ เรียนการสอนแบบดั้งเดิม
และการเรียนการสอนเชิงระบบ ดังรายละเอียดในตารางที่ 11
ในการออกแบบการเรียนการสอน
กระบวนการมีความสําคัญพอๆ กับผลิตผล เพราะว่าความ
เชื่อมั่นในผลิตผลจะขึ้นอยู่กับกระบวนการ ในการที่จะมีความเชื่อมั่นในผลิตผล
ต้องดําเนินตามขั้นตอนของ แบบจําลองการออกแบบการเรียนการสอน
สําหรับในแต่ละขั้นตอนนั้น ลําดับขั้นตอนของแบบจําลองการ ออกแบบการเรียนการสอน
สําหรับในแต่ละขั้นตอนนั้น ลําดับขั้นของภาระงานจะต้องแสดงออกมา และผลที่
ได้รับที่มีความเฉพาะเป็นพิเศษก็จะเกิดขึ้นดังรายละเอียดในตารางที่ 11
บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน (designer's role)
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ นําเสนอว่าต้องอาศัยเทคนิค
หรือไม่ต้องอาศัยเทคนิค และขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของทีมการออกแบบ
เนื้อหาที่ต้องใช้เทคนิคสูง
ผู้ออกแบบจําเป็นต้องให้คําแนะนําในการออกแบบกับผู้ชํานาญการด้านเนื้อหา (content
expert) ถ้าเนื้อหานั้นไม่ต้องใช้เทคนิคที่สูงมากจนเกินไป ผู้ออกแบบก็สามารถจัดทําได้อย่างอิสระ
มากขึ้นด้วยความช่วยเหลือของผู้ชํานาญการด้านเนื้อหา
ผู้ออกแบบสามารถที่จะทํางานเป็นผู้ให้คําปรึกษาจาก ภายนอก
และรับผิดชอบภาระงานทั้งหมด เหมือนกับเป็นคนในสํานักงาน (in-house
employers) ซึ่งได้รับ
ความช่วยเหลือจากผู้ชํานาญการด้านเนื้อหา
บทบาทของผู้ออกแบบสามารถมีได้หลากหลาย
ความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ชํานาญการด้านเนื้อหา
บทบาทของผู้ออกแบบสามารถมีได้หลากหลาย ขึ้นอ
ความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ชํานาญการด้านเนื้อหาวิชา ดังตัวอย่างทั้งสาม (Seels and Glasgow, 1990 : 7-9 คือ
1. ผู้ชํานาญการด้านเนื้อหาและมีสมรรถภาพในการออกแบบการเรียนการสอนและเทคโนโ
และเป็นผู้ที่รู้บทบาทของการออกแบบด้วย
ไม่จําเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือด้านความรู้ ความชํานาญทาง เนื้อหาวิชา
2. ผู้ออกแบบการเรียนการสอน
ที่ได้รับการร้องขอให้ทํางานในด้านเนื้อหาที่อาจจะ ความคุ้นเคย แต่ผู้ออกแบบยังคงรู้สึกมีความจําเป็นที่จะทํางานกับผู้ชํานาญการด้านเนื้อหา
3. ผู้ออกแบบอาจจะได้รับการร้องขอให้พัฒนาหรือวิจัยในด้านเนื้อหาที่ไม่มีความคุ้นเคย
และ ดังนั้นจึงจําเป็นต้องเลือกและทํางานกับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาจํานวนมาก
ตารางที่ 11 เปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมกับการเรียนการสอนเชิงระบบ
องค์ประกอบของการเรียน
การเรียนการสอน
|
การเรียนการสอน
แบบดั้งเดิม
|
การเรียนการสอน
การสอน
เชิงระบบ
|
1.
กําหนดเป้าประสงค์(Setting goals)
|
ตําราหลักสูตรดั้งเดิมการอ้างอิงภายใน
|
การประเมินความต้องการจําเป็นการวิเคราะห์งาน
การอ้างอิงภายนอก
|
2.
จุดประสงค์ (Objectives)
|
กล่าวในรูปของผลที่ได้รับรวมๆ หรือการปฏิบัติของครู
เหมือนกันสําหรับนักเรียนทุกคน
|
จากการประเมินความต้องการจําเป็นการวิเคราะห์/การประเมินงาน
เลือกด้วยการพิจารณาจาก
ความสามารถของผู้เรียนเมื่อแรกเข้าเรียน
|
3.จุดประสงค์ในความรู้ เฉพาะของผู้เรียน (Student's knowledge of
objectives)
|
ไม่ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้า
ต้องใช้สัญญาณจากการฟังคำ บรรยายและการอ่านตํารา
|
บอกกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ
ล่วงหน้าก่อนเรียน
|
4.ความสามารถก่อนเข้าเรียน (Entering capability
|
ไม่ต้องใส่ใจ นักเรียนทุกคนมี จุดประสงค์และวัสดุอุปกรณ์/
กิจกรรมเหมือนกันหมด
|
พิจารณา
การกําหนดวัสดุอุปกรณ์/กิจกรรมแตกต่างกัน
|
5.
ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวัง
(Expected achievement)
|
ใช้โค้งมาตรฐาน
|
มีความเป็นแบบอย่างเดียวกันสูง
|
องค์ประกอบของการเรียน
การสอน
|
การเรียนการสอน
แบบดั้งเดิม
|
การเรียนการสอน
เชิงระบบ
|
|||
6.ความรอบรู้ (Mastery)
|
นักเรียนส่วนน้อยรอบรู้
จุดประสงค์ทั้งหมด
รูปแบบผิดพลาด
|
นักเรียนส่วนใหญ่รอบรู้จุดประสงค์ทั้งหมด
|
|||
7.ระดับและการเลื่อน
ระดับ (Grading and promotion)
|
อยู่บนพื้นฐานการเปรียบเทียบกับนักเรียนคนอื่นๆ
|
อยู่บนพื้นฐานการรอบรู้จุดประสงค์
|
|||
8. การสอนเสริม
(Remediation)
|
“บ่อยครั้งที่ไม่มีการวางแผน
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
จุดประสงค์หรือวิธีการเรียน การสอน
|
วางแผนสําหรับนักเรียนที่ต้องการความ
ช่วยเหลือแสวงหาจุดประสงค์อื่นๆ เลือก วิธีการเรียนการสอน
|
|||
9. การใช้แบบทคสอบ
|
กําหนดค่าระคับ
|
เฝ้าระวังติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน
ตัดสินความรอบรู้
วินิจฉัยความยากลําบาก
ปรับปรุงการเรียนการสอน
|
|||
10. เวลาศึกษากับความรอบ
(Stidy time vs mastery)
|
เวลาคงที่ :
ระดับของความรอบ
รู้หลากหลาย แตกต่างกัน
|
“ความรอบรู้คงที่ :เวลาหลากหลายแตกต่างกัน
|
|||
11.การตีความของความ
ล้มเหลวที่จะไปให้ถึงความรู้
(Interpretation of failure to
reach mastery)
|
นักเรียนผู้ส่ง
|
มีความต้องการจําเป็นที่จะต้อง
ปรับปรุงการเรียนการสอน
|
|||
12. การพัฒนารายวิชา (Course
of development)
|
เลือกวัสดุอุปกรณ์ก่อน
|
ระบุจุดประสงค์ก่อนแล้วจึงจะ
เลือกวัสดุอุปกรณ์
|
|||
13. ลําดับขั้นตอน (Sequence)
|
อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและ
สังเขปหัวเรื่อง
|
“อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ต้องรู้ก่อน
ตามความจําเป็น และหลักการของการเรียนรู้
|
|||
องค์ประกอบของการเรียน
การสอน
|
การเรียนการสอน
แบบดั้งเดิม
|
การเรียนการสอน
เชิงระบบ
|
|||
14. การปรับปรุงการเรียน
การสอนและวัสดุอุปกรณ์ (Revision of instructional and materials)
|
อยู่บนพื้นฐานของการคาดแคา งาน
หรือความเพียงพอ
วัสดุอุปกรณ์ใหม่
เกิดขึ้นเปนพักๆ
|
อยู่บนพื้นฐานของการประเมินข้อมูล
เกิดขึ้นเป็นประจํา
|
|||
15. กลยุทธ์การเรียนการสอน
(Instructional
Strategies)
|
พอใจให้ผ่านได้อย่างกว้างๆ
อยู่บนพื้นฐานของความชอบ
และความคล้ายคลึง
|
เลือกที่จะให้ได้รับตามจุดประสงค์
ใช้กลยุทธวิธีที่หลากหลาย
อยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีและวิจัย
|
|||
16. การประเมินผล(Evaluation)
|
บ่อยครั้งที่ไม่เกิดขึ้น:
การการวางแผนเป็นระบบน้อย
ประเมินแบบอิงกลุ่ม ข้อมูลได้
จากปัจจัยนําเข้า และ กระบวนการ
|
การวางแผนเป็นระบบ : เกิดขึ้นประจํา
ประเมินความรอบรู้ตามจุดประสงค์
ประเมินผลอิงเกณฑ์ข้อมูลได้จากผลที่ได้รับ (ผลผลิต)
|
|||
ที่มา : W.H.
Hannum and leslirj. Briggs, "How
does Instructional Systems Design Differ from Traditional Instruction,"
Educational Technology 22:12-13. 1982
ตารางที่ 12 งานและผลผลิตของกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน
ตารางที่ 12 งานและผลผลิตของกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน
ขั้นตอนและภาระ
|
ตัวอย่างภาระงาน
|
ตัวอย่างผลผลิต
|
การวิเคราะห์-กระบวนการของ การนิยามว่าต้องเรียนอะไร
|
ประเมินความต้องการจําเป็น ระบุปัญหา
วิเคราะห์ภาระงาน
|
แฟ้มผู้เรียน
การพรรณนาข้อจํากัด
คำกล่าวของความต้องการจําเป็นและปัญหา
การวิเคราะห์ภาระงาน
|
การออกแบบ-กระบวนการของ
การชี้เฉพาะว่าจะเรียน
|
เขียนจุดประสงค์
พัฒนารายการของแบบทดสอบ
วางแผนการเรียนการสอน
ระบุแหล่งทรัพยากร
|
จุดประสงค์ที่วัดได้กลุทธ์การเรียนการสอน
ลักษณะเฉพาะของตัวแบบ(prototype specification)
|
การพัฒนา-กระบวนการของ
|
ทํางานกับผู้ผลิต
|
สคอร์บอร์ค (story
board)
|
ขั้นตอนและภาระงาน
|
ตัวอย่างภาระงาน
|
ตัวอย่างผลผลิค
|
หน้าที่และผลิตวัสดุอุปกรณ์
|
พัฒนาคู่มือ
แผนภูมิ โปรแกรม
|
สคริป
แบบฝึกหัด
คอมพิวเตอร์ช่วยการรัยนการสอน
|
การนำไปใช้-กระบวนการของการก่อตั้งโครงการบริษัทแห่งโลกความจริง
|
การฝึกอบรมครู
การทดลอง
|
การใช้ความเห็นของนักเรียนข้อมูล
|
การประเมิน-กระบวนการของการตกลงใจเกี่ยวกับความเห็นผลผลของการเรียนการสอน
|
บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเวลา
ผลการแปลความแบบทดสอบ
สำรวจผู้สำเร็จการศึกา
ทบทวนกิจกรรม
|
คำรับรอง (recormmendation)
รายงานโครงการ
ทบทวนตัวแบบ
|
ที่มา: Barbara Seels, and Zita Glasgow, Exercises in
instructional Design (Columbus, Ohio : Merrill Publoshing Company, 1990), p. 8.
นับว่าเป็นเรื่องสําคัญด้วยเหมือนกัน ที่จะให้ความแตกต่างระหว่างบทบาทของผู้วิจัยและผู้ปฏิบัติ
เพราะว่าข้อกําหนดในความสําเร็จของทั้งสองส่วนนี้มีความแตกต่างกัน
ผู้ที่เป็นนักวิจัยสนใจในแต่ละขั้นตอน ของรูปแบบทั่วไป ดังนั้น
ความสนใจและเป้าประสงค์ของผู้ปฏิบัติ (ID
practitioner) จึงแตกต่างออกไป ความสนใจและเป้าประสงค์ที่แตกต่างกัน
ดังแสดงไว้ในตารางที่ 3
ผู้ออกแบบที่เป็นนักปฏิบัติ
สามารถแสดงออกในแต่ละขั้นตอนจากการวิเคราะห์ไปจนถึงการ ทดลอง
ขึ้นอยู่กับว่าจะพรรณนางานว่าอย่างไร ถ้างานของผู้ออกแบบระบุไว้อย่างแคบๆ
แล้วผู้ออกแบบแสดง เพียงสองถึงสามขั้นตอนเท่านั้น โดยละทิ้งขั้นตอนที่เป็นผลิตผล
การนําไปใช้ และการประเมินผล
นักวิจัยการออกแบบการเรียนการสอน (ID remember) หรือผู้เชี่ยวชาญ (specialist)
สนใจศึกษาตัว แปรและพัฒนาทฤษฎีที่สัมพันธ์กับการเรียนการสอน
นักปฏิบัติการออกแบบการเรียนสอน (ID practitioner or generation) สนใจการประยุกต์งานวิจัย และทฤษฎีการพัฒนาการเรียนการสอนและวัสดุอุปกรณ์
บทบาท อื่นๆ ของผู้วิจัยการออกแบบการเรียนการสอนดังแสดงไว้ในตารางที่ 3 ส่วนบทบาทของผู้ปฏิบัติการ ซอกแบบการเรียนการสอนดังแสดงในตารางที่ 13
สาขาวิชาการออกแบบการเรียนการสอน มีอายุประมาณ 30 ปี เป็นบทบาทของนักวิจัยที่จะส่งเสริม
ความงอกงามในทฤษฎีของการออกแบบการเรียนการสอน
และเนื่องจากว่าการออกแบบการเรียนการสอน เป็นสาขาวิชาประยุกต์
บทบาทของนักวิจัยจึงอาจดูเหมือนว่าแยกตัวออกไปตามลําพังและมีความสําคัญน้อย
สิ่งดังกล่าวนี้ไม่เป็นความจริง
เพราะถ้าปราศจากกระบวนการทางทฤษฎีแล้ว สาขา
ความมุ่งหมายของนักออกแบบการเรียนการสอน คือ
ความจําเป็นที่จะต้องรู้ว่าตนสามารถที่จะก้าวไกลได้ หนทางแห่งอาชีพของตนเอง
ถ้ารับรู้วิธีการวิจัยที่เหมาะสมในแต่ละขั้นตอน (Seels
and Glasgow, 19990 10)
งานของผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนอาจจะหลากหลายในความต้องการค้านความ
ความชํานาญ ผลิตผลที่ได้และสถานการณ์ของงาน
ผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนอาจจะวิเคราะห์
ภาระงานภายใต้การนิเทศของผู้จัดการโครงการในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและการพัฒนา
ผู้จัดการ | โครงการอาจจะนําทีมซึ่งพัฒนาการประชุมเชิงปฏิบัติการสามวันสําหรับการอุตสาหกรรม
(three-da Workshop) การออกแบบไม่จําเป็นต้องเป็นทีมเสมอไป
ในองค์กรเล็กๆ อาจจะใช้ผู้ออกแบบเพียงคนเดียว ให้
การทําภาระการออกแบบการเรียนการสอน
ตารางที่
13 เปรียบเทียบความสนใจและเป้าประสงค์ของผู้วิจัยและผู้ปฏิบัติ
แบบจําลองการออกแบบ
การเรียนการสอนทั่วไป
|
บทบาทของผู้วิจัย
|
บทบาทผู้ปฏิบัติ
|
ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์
ขั้นที่ 2 การออกแบบ
ขั้นที่ 3 การพัฒนา
ขั้นที่ 4 การนำไปใช้
ขั้นที่ 5 ประเมินผล
|
ศึกษาวิธีการระบุปัญหา
ศึกษาผลของคุณลักษณะของ ผู้เรียน
ศึกษาเนื้อหา
ศึกษาตัวแปรในการออกแบบข่าวสาร
พัฒนากลวิธีการเรียนการสอน
ศึกษากระบวนการของทีม
ศึกษาชาติวงศ์วรรณาของตัวแปรในสิ่งแวดล้อม
การระบุตัวแปรของการนำไปใช้ให้ได้ผล
ศึกษาข้อถกเถียงที่นำไปสู่การประเมินผล
|
ประยุกต์ใช้วิธีการระบุปัญหา กําหนดคุณลักษณะของผู้เรียน
ใช้การวิจัยในเนื้อหาตามสาขาวิชา
ให้ผู้ปฏิบัติเป็นผู้ออกแบบการเรียนการสอน
ทำงานกับผู้ผลิตในการพัฒนาสคริป
ออกแบบและจัดการสิ่งแวดล้อมและตัวแปรในการเรียนการสอน
ประยุกต์ทฤษฎีการประเมินผล
|
ที่มา :
Barbara Seels,and Zita Glasgow,Exercises in
instrucnal (Columbus, Ohio : Merrill Publoshing Company, 1990), p.8.
การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพตามที่มาร์ซาโน
(Marzano:
2012) ได้นําเสนอกลวิธีการ จัดการเรียนการสอนสรุปได้ 3 ส่วน คือ 1) การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Creating
the Environment for Learning) ซึ่งกลวิธีในส่วนที่
1
นี้จะเป็นพื้นฐานสําคัญให้กับการเรียนในทุกบทเรียน เมื่อครูสร้าง
สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ย่อมจูงใจและทําให้ผู้เรียนเกิดความคาดหวังและเรียนรู้อย่างมีความหมาย
โดยการ ดูแลให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เพื่อการพัฒนาเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาทักษะการ เรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น
ตลอดจนเรียนรู้การติดตามและพัฒนาความรู้ของตนเอง 2) การช่วยพัฒนาความรู้ความ
อาจเห้กับผู้เรียน (Helping students Develop Understanding) กลวิธีในส่วนที่ 2 นี้เป็นการช่วยผู้เรียนใน
การพัฒนาความรู้ความเข้าใจ
จัดลําดับองค์ความรู้และเชื่อมโยงความรู้เก่ากับองค์ความรู้ใหม่ จัดการกับ ความรู้
ตรวจสอบความรู้ สร้างมโนทัศน์ (Concept) ที่ถูกต้อง
ซึ่งกระบวนการบูรณาการและเรียนรู้
กระบวนการในแต่ละประเภทของความรู้จะเกี่ยวข้องกับ (1) การสร้างขั้นตอนที่จําเป็นในแต่ละกระบวนการ
" หรือทักษะ (2) พัฒนามโนทัศน์และความเข้าใจในกระบวนการและการปฏิบัติอย่างหลากหลาย
(3)ปฏิบัติ ! ตามทักษะที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นประจํา และ 3)
ช่วยผู้เรียนในการขยายและประยุกต์ใช้ความรู้ (Helping
students Extend and Apply Knowledge) กลวิธีในส่วนที่ 3 คือ ช่วยขยายและประยุกต์ใช้ความรู้ คือ เป็นการ
ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้มากกว่าคําตอบที่ถูกต้อง (right answer) โดยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ ขยายองค์ ) ความรู้
โดยนําความรู้กับไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง (Real-world Contexts) โดยใช้กระบวนการของเหตุ 1 และผล
และถึงเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
จากกลวิธีการสอนดังกล่าวเมื่อพิจารณาตามหลักการ
Universal
Design (UD) จะเกี่ยวข้องกับการ ออกแบบผลิตภัณฑ์และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่คนในทุกช่วงอายุและความสามารถที่แตกต่างกันสามารถ
ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด (Story, Mueller, & Mace, 1998) เมื่อนํา Universal Design (TUD) มาใช้
ทางการศึกษาจึงเป็นการออกแบบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนทุกคน ได้แก่ การสอนที่ใช้สื่อ
และ วิธีการแบบต่างๆ เช่น การบรรยาย การรวมกันอภิปราย การทํางานกลุ่ม
การสอนโดยใช้อินเตอร์เน็ต ห้องปฏิบัติการ การออกฝึกภาคสนาม เป็นต้น
รวมทั้งการออกแบบหลักสูตรที่สนองต่อผู้เรียน ความสามารถในห้องเรียน
(สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2555: 4-6) Universal Design ( นํามาใช้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการศึกษา อาทิ คอมพิวเตอร์ เว็ปไซต์
ซอร์ฟแวร์ หนังสือคู่มือ และเค ใช้ในห้องทดลอง ฯลฯ
และนํามาปรับใช้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อาทิ หอพัก ห้องเรียน อาคาร ห้องสมุด
และคอร์สรายวิชาเรียนทางไกล เป็นต้น
ความสำาคัญของการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
(Universal
Design for UDI) คือ แนวทางการสอน กอบด้วยการออกแบบเชิงรุก
และใช้กลวิธีการเรียนการสอนแบบรวม (inclusive instructional strategies) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนในวงกว้าง ครูมีบทบาทเป็นผู้ดําเนินการเชิงรุก
(proactive) มีความรับผิดชอบ
nonsive) และเป็นผู้สนับสนุน(supportive) การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
(Universal Design ๙ instruction : UDI) ให้ความสําคัญกับหลักสูตรรายวิชาต่าง ๆ เทคโนโลยี และบริการต่าง ๆ
โดยทั่วไปที่จัด ให้ผู้เรียนถูกออกแบบมาให้กับผู้เรียนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ย, แค่ในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
จะต้องขยายขอบเขตสําหรับผู้เรียนที่มีหลากหลายลักษณะ
คํานึงถึงผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาและ สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ในการออกแบบดังกล่าวมุ่งที่ผลิตภัณฑ์ในการศึกษาและการจัด
สภาพแวดล้อมเพื่อให้ได้ผลได้มากเท่าที่จะทําได้ (Story, Mueller, and Mace,
1998)
การออกแบบสากลในการศึกษา
Universal
Design (UD) เป็นการอํานวยความสะดวกสาหรับคนทุกคนโดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็น
สําหรับใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นการนําหลักการ Universal Design (UD) มาใช้ในการศึกษา จึงสามารถลด อุปสรรคต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้
และสร้างความยืดหยุ่นในการจัดการศึกษา เพื่อให้ ผู้ที่มีความแตกต่างกัน
สามารถเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกันให้ได้มากที่สุด Strangeran, Hitchcock,
Hall, Meo, & et. al :2006 จาก มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นคาโรลาโด
ได้นําแนวคิดนี้มาประยุกต์ในการจัดการเรียนการสอนใน 2 ลักษณะ
คือ Universal Design for Instruction (UDI) และ Universal
Design for Learning (UDL) โดยที่ UDI เป็นการ
ออกแบบการสอน รวมไปถึงวิธีการสอน การจัดเนื้อหา การประเมินผล และหลักสูตร ส่วน UDL
เป็นเรื่องที่
เกี่ยวข้องกับออกแบบสภาพการเรียนรู้หรือสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน
การออกแบบสากลในการศึกษา
(Universal
Design in Education) ถูกนําไปใช้กับผลิตภัณฑ์ทางการ ศึกษาต่างๆ
เช่น คอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ ซอฟต์แวร์ ตําราและอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ รวมถึงสภาพแวดล้อม
ต่างๆ เช่น ห้องรับแขก ห้องเรียน อาคารสหภาพนักศึกษาห้องสมุด
และหลักสูตรการเรียนทางไกล แตกต่าง
จากที่พักสําหรับบุคคลที่เฉพาะเจาะจงที่มีความสามารถในการเลือกปฏิบัติ UDE ให้ประโยชน์แก่นักเรียนทุก คนรวมถึง ผู้ที่ไม่ได้รับที่พักที่เกี่ยวข้องกับคนพิการจากโรงเรียน
ส่วนต่อไปนี้แสดงตัวอย่างการใช้งานทั่วไป ในการตั้งค่าทางการศึกษา:
ช่องว่างทางกายภาพเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) การสอนและบริการของนักเรียน
แตกต่างจากที่พักสําหรับบุคคลที่เฉพาะเจาะจงที่มีความสามารถในการเลือกปฏิบัติ UDE
ให้ประโยชน์แก่
นักเรียนทุกคนรวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับที่พักที่เกี่ยวข้องกับคนพิการจากโรงเรียน
ส่วนต่อไปนี้แสดงตัวอย่างของ การใช้งานทั่วไปในการตั้งค่าทางการศึกษา:
พื้นที่ทางกายภาพเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) การสอนและ
บริการของนักเรียน
การออกแบบที่เป็นสากลในการเรียนการสอน
(Universal
Design for Instruction :UDI)
การนําแนวคิด
UD มาใช้โดยเป็นการประยุกต์เพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนที่นี้
ความต้องหลากหลาย โดยมีหลักการว่า UD นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจว่า
ผู้เรียนแต่ละคน ลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน และมีความต้องการที่แตกต่างกันด้วย
ซึ่งการนํา UD ไปใช้ในการศึกษาก็เพิ่ง
สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนในแต่ละคน
และส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้เต็มที่ตามศักยภาพ (Eagleton,
2008)
Scott,
Shaw and McGuire (2001) ได้เสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
! ไว้9 ประการ ในการออกแบบการสอนที่เป็นสากล(Universal
Design of Instruction หรือ UD) ได้รับการ
พัฒนามาจากการศึกษาค้นคว้างานเขียนและงานวิจัยเกี่ยวกับหลักการในการออกแบบที่เป็นสากล
(Universal )Design หรือUD)
และการเรียนการสอนที่มีประสิทธิผลเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ครูผู้สอนใช้ในการครุ่นคิด
ไตร่ตรอง โดยนําไปใช้ได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหลักสูตรใหม่ ๆ
หรือใช้เพื่อพิจารณาการ ) สิ่งที่ทําอยู่แล้ว ณ ปัจจุบันก็ได้
แล้วแต่ความจําเป็นของผู้สอนแต่ละท่าน หลักการทั้ง 9 ประการนี้จะแสดงให้ง
เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับการสอน หรือเป็นแนวทางในการสอน
ไม่ว่าจะเป็นการประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน หรือการขยายประสบการณ์การเรียนรู้
หรือการพิจารณาว่าจะสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เหมาะสมกับเด็ก ทุกคนได้อย่างไร ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้สอนจะใช้หลักการทุกข้อกับการเรียนการสอนทุกด้านพร้อม
ๆ ) กันได้ แต่เมื่อดูชั้นเรียนโดยองค์รวม จะพบว่าหลักการแต่ละข้อจะเข้ามามีบทบาท
หลักการทั้งหมดนี้มี 1 ประโยชน์สําหรับผู้สอนทุกท่าน
ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ร่ําชองจากสาขาวิชาต่าง ๆ และมีประโยชน์
สูงสุดสําหรับผู้สอนมือใหม่หรือครูผู้ช่วยสอนที่ต้องการคําแนะนําและแนวทางในการสอน
Scott,
Shaw and McGuire (203 : 369 - 379) ได้นําเสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการ
สอนที่เป็นสากลไว้ ประการ ดังนี้
1.
ความเสมอภาคในการใช้งาน (EQUITABLE USE)
เป็นการออกแบบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สําหรับคนทุกคน
ข้อมูลและอุปกรณ์ต้องใช้
งานได้อย่างราบรื่นโดยกลุ่มนักเรียนที่เยอะขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้น
หมายถึงการใช้อุปกรณ์การ เรียนการสอนที่เหมือนกัน “เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้
และใช้อุปกรณ์ที่เทียบเท่าเมื่อใช้อุปกรณ์ที่เหมือนกัน ไม่ได้" ตัวอย่างเช่นข้อความดิจิทัลในรูปแบบที่ใช้ได้กับซอฟต์แวร์อ่านข้อความหลาย
ๆ ชนิด และมีลิงก์ เชื่อมโยงไปยังข้อมูลเบื้องหลังสําหรับนักเรียนทุกคน
2.
ความยืดหยุ่นในการใช้ (FLEXIBILITY IN USE)
เป็นการออกแบบที่ทําให้ผู้เรียนแต่ละคนที่มีความหลากหลาย
ได้ใช้ได้เช่นเดียวกัน ต้องมี ตัวเลือกหากผู้เรียนต้องการฟังเนื้อหาต้องทําได้
หรือจะพิมพ์ออกมาเป็นเอกสารที่จับต้องได้ก็ต้องทําได้ และ
ยังต้องปรับขนาดและความคมชัดของตัวอักษรได้เพื่อประโยชน์ต่อผู้เรียนที่มีปัญหาด้านสายตา
ผู้สอนควร เตรียมวิธีการสอนที่หลากหลาย
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับสาระความรู้เดียวกันในหลายรูปแบบ
3.
ง่ายและเป็นธรรมชาติ (SIMPLE AND INTUITIVE)
เป็นการออกแบบที่ทําให้ผลิตภัณฑ์นั้นใช้งานง่าย
สิ่งสําคัญในการเรียนรู้คือความเข้าใจเนื้อหาที่ เรียน ไม่ใช่วิธีในการทําความเข้าใจ
(วิธี ไม่สําคัญ สําคัญคือเข้าใจ) เมื่อผู้สอนจะนําหลักการนี้ไปใช้จึงต้องใช้
ตารางคะแนนช่วย (ในตารางจะเขียนว่าต้องเข้าใจอะไรอย่างไร)
4.
สารสนเทศที่ช่วยให้รับรู้ได้ (PERCEPTIBLE INFORMATION)
เป็นการออกแบบที่ทําให้ผู้เรียนแต่ละคนเข้าถึงข้อมูลได้เหมือนกัน
ข้อมูลสารสนเทศความรู้จะ ถูกนําเสนอแก่ผู้เรียนในลักษณะที่สามารถเข้าถึงได้
(ตัวอย่างเช่นเมื่อพูดถึงกราฟิกจะมีการอธิบาย หรือใช้
แท็กสําหรับผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสายตา
ส่วนคําบรรยายมีไว้สําหรับนักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางการได้ยิน และเอกสารการอ่านทั้งหมดจะมีให้ในรูปแบบดิจิทัลที่เข้าถึงได้)
5.
การยอมรับว่าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น (TOLERANCE FOR ERROR)
เป็นการออกแบบที่คํานึงความปลอดภัยของผู้เรียน
ในฐานะใช้) ผู้สอนต้องเข้าใจว่าผู้เรียนมี ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
และมีแหล่งเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ผลก็คือประสิทธิภาพของการสอนก็ย่อมแปรผัน
ไปเช่นเดียวกัน ผู้สอนต้องให้ผู้เรียนแบ่งโครงงานใหญ่ ๆ ออกเป็นส่วนเล็ก ๆ
มาส่งก่อน เพื่อจะได้นํา ข้อเสนอจากผู้สอนไปปรับปรุงโครงงานโดยรวม
6.
ความสามารถทางกายภาพที่ต่ํา (Low PHYSICAL EFFORT)
เป็นการออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้มีความเมื่อยล้าในการใช้น้อยที่สุด
เมื่อความพยายามทางกายภาพ ไม่ได้เป็นส่วนสําคัญของหลักสูตรายวิชา
ความพยายามทางกายภาพควรจะขจัดให้หายไปเพื่อที่ผู้เรียนจะ “เพิ่มความสนใจในการเรียนรู้
ดังนั้นการลดอุปสรรคการเรียนรู้ในทางกายภาพก็เป็นคีในการเรียนรู้สําหรับ
ผู้เรียนบางคน
7.
ขนาดและพื้นที่สําหรับการประยุกต์ใช้และการใช้ (SIZE AND
SPACE FOR APPROACH AND USE)
เป็นการออกแบบเพื่อผู้ใช้ที่มีขนาดร่างกายที่แตกค้างกันใช้ได้อย่างสะดวก
พิจารณาความ ต้องการของผู้เรียนภายในพื้นที่ที่กําหนดไว้
โดยให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนแปลงในขนาดร่างกาย ท่าทาง การเคลื่อนไหว
และความต้องการของนักเรียน
8.
ชุมชนของผู้เรียน (A COMMUNITY OF LEARNERS)
เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
สร้างสภาพแวดล้อม (ทั้งทางกายภาพและทางออนไลน์) ที่รู้สึกปลอดภัยและสนับสนุนการโต้ตอบระหว่างนักเรียน
9.
บรรยากาศในการสอน (INSTRUCTIONAL CLIMATE)
เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
ที่สภาพแวดล้อมได้รับการออกแบบมาเพื่อผู้เรียนที่ คน
สื่อสารให้นักเรียนรับรู้ว่าผู้สอนมีตั้งความคาดหวังไว้สูงสําหรับผู้เรียนทุกคน
อาจารย์ผู้สอนสามาร เริ่มต้นกระบวนการนี้ได้ทั้งในหลักสูตรกับคําแถลงเกี่ยวกับความคาดหวังในการเคารพต่อความแตกต่าง
ความหลากหลายรวมถึงข้อความกระตุ้นให้นักเรียนเปิดเผยตนเองเกี่ยวกับปัญหาการเรียนรู้ที่ได้รับการรับรอง
หรือสงสัย
การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
(UDL:
Universal Design for Learning)
แนวคิด
Universal
Design เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนทุก
คนสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
การออกแบบมุ่งที่การใช้งานให้คุ้มค่า ครอบคลุมสําหรับผู้เรียนทุกคน
โดยคํานึงถึงโอกาสในการใช้งานอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นการนําแนวคิดการ
ออกแบบการเรียนรู้สากล (Universal Design for Learning) มาใช้ในจึงสามารถช่วยลดอุปสรรคต่อการเรียนรู้
ของผู้เรียนได้ และสร้างความยืดหยุ่นในการจัดการศึกษา
เพื่อสนองต่อผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันสามารถ เรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกัน
แนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
(Universal
design for learning : UDL) เกี่ยวข้องกับการ
จัดสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ ในยุคการศึกษา 4.0 จึงมีการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ
สนองตอบต่อความต้องการของผู้เรียนที่มีความต้องการหลากหลายและแตกต่างกัน
ประกอบไปด้วยหลักการ ที่สําคัญ 3 ประการ (Strangerman,
Hitchcock, Hall, Meo, & et al :2006) ได้แก่
1.
การสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อจดจํา
โดยการจัดหาวิธีการนําเสนอที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย
2.
เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ยุทธศาสตร์
โดยจัดหาวิธีการอธิบายหรือการแสดง ออกด้วยคําพูดที่ ยืดหยุ่นและหลากหลายและการเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า
3.
เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล
โดยการจัดหาทางเลือกที่มีความยืดหยุ่นให้นักเรียน
มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ตามหลักสูตร
ความสําคัญของการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
ซึ่งเป็น
UDL
มีความสําคัญอย่างยิ่งในการออกแบบการเรียนการสอน ที่ประกอบไปด้วย
จุดหมาย (goal) | วิธีการ (method) วัสดุอุปกรณ์
(materials) และการประเมินผลการเรียนรู้ (assessment)
สําหรับผู้เรียนทุกคน
วิธีการใดวิธการหนึ่งเพียงวิธีเดียวจะไม่เหมาะสมกับทุกการแก้ปัญหา
แต่จะเป็นการออกแบบที่มีวิธีการที่ ความยืดหยุ่น
สามารถปรับแต่งได้และปรับตามความต้องการของบุคคล แต่ละบุคคลต่างมีความหลากหลาย
ของทักษะ
ความต้องการและความสนใจที่จะเรียนรู้
ทางด้านประสาทวิทยากล้าวได้ว่าคล้ายกับกระบวนการ
ทำงานของสมอง
3 ส่วน ดังนี้ 1. และจัดประเภทของสิ่งที่เราบอ เป็นการรับรู้สิ่งที่จะเรียน
(Strategic Networks) การวางแผน ของเรา การเขียนเรียงควา
เมต้องการและความสนใจที่จะเรียนรู้
ทางด้านประสาทวิทยากล่าวได้ว่าคล้ายกับระบบการ เอง 3 ส่วน ดังนี้ 1)
เครือข่ายการรับรู้ (Recognition Networks) วิธีการที่เรารวบรวมข้อเท็จจริง
ทของสิ่งที่เรามองเห็นได้ยินและอ่าน
ตัวอักษรระบุคําหรือลักษณะของผู้เขียนเป็นภาระงานที่ สิ่งที่จะเรียน
(อะไรคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้: The "what" of learning ) 2) เครือข่ายเชิงกลยุทธ์
Networks) การวางแผนและการปฏิบัติงาน
วิธีการที่เราจัดระเบียบและแสดงหลักฐานทางความคิด
จรเขียนเรียงความหรือการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ต่างถือเป็นงานเชิงกลยุทธ์
("วิธีการ" ของการ ๕.๐ "bow" of
learning) และ 3) เครือข่าย (Affective
Networks) จะมีวิธีเรียนรู้อย่างไรที่จะกระตุ้นและ แรงบันดาลใจ
เป็นสิ่งที่ท้าทายและเร้าความสนใจของผู้เรียน เป็นมิติอารมณ์ ("ทําไม" ของการเรียนรู้:The “why” of
learning)
การออกแบบที่เป็นสากลเพื่อการเรียนรู้จึงเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ
ซึ่งถือว่าเป็น อีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ
ระดับในการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
จัดเป็น 3
ระดับ ดังนี้
ระดับที่
1 การนําเสนอ
การจัดการเรียนรู้ตามหลักการการออกแบบที่เป็นสากลเพื่อการเรียนรู้ (UDL) ควรใช้รูปแบบการนําเสนอที่หลากหลายวิธี ได้แก่
-
การใช้ข้อมูลที่หลากหลายรูปแบบ เช่น ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง
หรือข้อมูลที่สัมผัสได้ - การใช้ภาษาและสัญลักษณ์ที่หลากหลาย
-
การให้โอกาสผู้เรียนได้ทําความเข้าใจบทเรียนและทบทวนความรู้นั้น
ระดับที่ 2 การสื่อสาร
การให้ผู้เรียนได้แสดงออกในการเรียนรู้ ซึ่งมีหลากหลายวิธีการ ได้แก่
-
การใช้ภาษากาย - การพูด การสนทนาโต้ตอบ
-
การใช้การทํางานของสมองระดับสูง (Executive Function)
ระดับที่ 3 การมีส่วนร่วม
เป็นการเสริมสร้างแรงจูงใจ ได้แก่
-
การพยายามชักจูงความสนใจ โดยให้อิสระในการเลือก
-
สนับสนุนให้ใช้ความพยายามในการทางาน
-
เสริมสร้างทักษะการกํากับตนเอง (Self-regulation)
แบบการเรียนรู้ (Learning Styles)
คําว่า Learning
Styles ในคําภาษาไทยใช้คําว่า ลีลาการเรียนรู้ หรือแบบการเรียนรู้
หรือวิธีการ ที่เป็นการปฏิบัติของผู้เรียนในการจัดการเกี่ยวกับการเรียน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของ หลักสูตร ซึ่งแตกต่างกันไปตามสติปัญญา
ลักษณะเฉพาะของผู้เรียน และสภาพแวดล้อมทางการเรียน
แบบการเรียนรู้ (Learning
Style) เป็นความคงที่ในการตอบสนองและการใช้สิ่งเร้าในบริบทของ
การเรียนรู้
อาจกล่าวได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนเรียนรู้ได้ดีที่สุดด้วยกลวิธีหรือวิธีการที่สนองตอบกับความต้องการ
ของผู้เรียน โดยผู้เรียนแต่ละคนมีแบบการเรียนรู้ของตนเอง ไรซ์แมนและกราส์ซา
และเควิด เอ คอน ได้นําเสนอแบบการเรียนรู้ สรุปได้ดังนี้
Anthony
F. Grasha and Sheryl Reichman (1980 cited in Nova Southeastern University,
2004:31) จัดผู้เรียนตามแบบการเรียนรู้ได้ 6 แบบ
คือ
1.
แบบอิสระ (Independent Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้เฉพาะตนเอง
แสวงหาความรู้และ ประสบการณ์ด้วยตนเอง
จะเรียนรู้เนื้อหาวิชาเฉพาะที่ตนเห็นว่ามีความสําคัญ เชื่อมั่นในความสามารถการ
เรียนรู้ของตนเอง แต่ก็รับฟังความเห็นของผู้อื่น
2.
แบบหลีกเลี่ยง (Avoidance Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการ
เรียนการสอน ผู้เรียนไม่สนใจเนื้อหาวิชาที่จัดให้
ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน
3.
แบบร่วมมือ (Collaboration Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ชอบที่จะทํางานร่วมกันกับผู้อื่น
เรียนรู้ได้ดีด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ถือห้องเรียนเป็นแหล่งปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเรียนรู้
เนื้อหาวิชาตลอดจนกิจกรรมนอกหลักสูตร
4.
แบบพึ่งพา (Dependent Style) ) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการคําบอกเล่าว่าต้องทําอะไร
อย่างไรและเมื่อไร ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการรับคําสั่ง หรืองานที่มอบหมาย อาจารย์และเพื่อนจะเป็นแหล่งความรู้
มีความต้องการเรียนรู้เฉพาะจากสิ่งที่กําหนดให้เรียนเท่านั้น
5.
แบบแข่งขัน (Competitive Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่จะพยายามทําให้ดีกว่าคนอื่น
ผู้เรียน ค้นหาความรู้โดยใช้หลักในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนพยายามที่จะทําสิ่งต่าง ๆ
ให้ได้ดีกว่าคนอื่น ใช้หลักในการเรียนรู้
เรียนเพื่อให้มีผลการเรียนดีกว่าเพื่อนในชั้นเรียน ต้องการรางวัลในชั้นเรียน เช่น
คําชม หรือสิ่งทอ .. คะแนน มีลักษณะการแข่งขันแบบแพ้ชนะ
6.
แบบมีส่วนร่วม (Participant Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมมากที่สุด
ในกิจกรรมในชั้นเรียน
ผู้เรียนต้องการเรียนรู้เนื้อหาวิชาในห้องเรียนและชอบที่จะเข้าชั้นเรียน แต่ไม่
จะร่วมกิจกรรมที่ไม่อยู่ในรายวิชาที่เรียน
Dvid
A. Kolb (1995 อ้างในคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้
กระทรวงศึกษาธิการ, 2543 : 9-20) จัศกลุ่มผู้เรียนตามแบบการเรียนเป็น
4 กลุ่ม ดังนี้
1.
แบบนักปฏิบัติ (active experimentation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดี
เมื่อได้ลงมือปฏิบัติ เรารเรียนรู้เกิดจากการกระทําควบคู่ไปกับการคิด
2.
แบบนักสังเกต (reflective observation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้จากการสังเกตปรากฏการณ์
ช่นๆ แล้วนํามาจัดระบบระเบียบเป็นความรู้
3.
แบบนักคิดสร้างมโนทัศน์ (abstract conceptualization) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยวิเคราะห์ และสังเคราะห์
การรับรู้ที่ได้เป็นองค์ความรู้
4.
แบบนักประมวลประสบการณ์ (concrete experience) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยการ วิเคราะห์ และประเมินด้วยหลักเหตุผล
McCarthy
(อ้างในศักดิ์ชัย นิรัญทวีและไพเราะ พุ่มมั่น, 2542 : 7-11) ได้ขยายแนวคิดของคอล์บ โดยเสนอแบบการเรียนรู้ 4 แบบ
ดังนี้
แบบที่
1 เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (imaginative learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส และประมวลกระบวนการเรียนรู้จากการสังเกต
นําไปสะท้อนความคิดเชิงเหตุผล ผู้เรียนกลุ่มนี้มักถามถึง เหตุผลว่า ทําไม (why)
ผู้เรียนมักถามว่า ทําไมต้องเรียนสิ่งนั้นสิ่งนี้
จะต้องหาเหตุผลที่จะต้องเรียนรู้ก่อน สิ่งอื่น ๆ แล้วจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาหรือสิ่งที่เขาสนใจอย่างไร
โดยเฉพาะเรื่อง ความเชื่อ ค่านิยม ความรู้สึก ชอบขบคิดปัญหาต่างๆ
ค้นหาเหตุผลและสร้างความหมายเฉพาะของตนเอง ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อ
อภิปราย โต้วาที ใช้กิจกรรมกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ครูต้องให้เหตุผลก่อนเรียน
หรือระหว่างเรียน
แบบที่
2 เป็นผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (analytic learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านการประมวล ข้อมูล
โดยนําสิ่งที่รับรู้มาประมวลกับประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ใหม่ ๆ
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะถามเกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง คําถามที่สําคัญคือ อะไร (what)
ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เหมาะสม
เพื่อนําไปพัฒนาเป็นความคิดรวบยอด (concept) หรือจัดระบบระเบียบของความคิด
ผู้เรียนกลุ่มนี้มุ่งเน้น รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
จะยอมรับผู้รู้จริงหรือผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีอํานาจสั่งการเท่านั้น ผู้เรียน
กลุ่มนี้จะเรียนก็ต่อเมื่อรู้ว่า จะต้องเรียนอะไร อะไรที่เรียนได้
สามารถเรียนได้ดีจากการบรรยาย การ ทดลอง การทํารายงาน การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย
:
แบบที่
3 เป็นผู้เรียนที่ถนัดใช้สามัญสํานึก (common sense learners) ผู้เรียนจะรับรู้โดยผ่าน กระบวนการคิดจากสิ่งที่เป็นนามธรรม
กระบวนการเรียนรู้ได้จากการทดลองหรือปฏิบัติจริง มีการมองหา
กลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนความรู้เพื่อนําไปใช้ คําถามที่สําคัญคือ อย่างไร (how)
ผู้เรียนกลุ่มนี้สนใจทดสอบ ทฤษฎีหรือปฏิบัติจริง
โดยวางแผนนําความรู้ในภาคทฤษฎีที่เป็นนามธรรมไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมใน
ชีวิตจริง ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการเป็นผู้ปฏิบัติ
ใฝ่หาสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นประโยชน์และตรวจสอบว่าข้อมูลที่
ได้มานั้นสามารถใช้ได้ในชีวิตจริงหรือไม่
สนใจที่จะนําความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง อยากรู้ว่าจะทําให้ อย่างไร รูปแบบการเรียนการสอนที่ควรเป็นก็คือ
การทดลอง การให้ปฏิบัติจริง ทําจริงหรือสถานการจําลองก็ได้
แบบที่
4 เป็นผู้เรียนที่ถนัดการปรับเปลี่ยน (dynarie learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านสิ่งที่เป็น 1 รูปธรรมและผ่านการกระทํา
คําถามที่สําคัญคือ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ (If) ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยลงมือ
1 ในสิ่งที่ตนเองสนใจ และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง
ชอบรับฟังความคิดเห็นหรือคําแนะนํา แล้วนําข้อมูลมา ประมวลเป็นความรู้ใหม่
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะมองเห็นความซับซ้อนของสิ่งที่เรียนรู้ สามารถสร้างยังความคิด
แสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ แล้วนําเสนอเป็นรูปแบบที่แปลกใหม่
การสอนผู้เรียนกลุ่มนี้ใช้วิธีการสอน แบบค้นพบด้วยตนเอง (self discovery
method)
แบบการเรียนรู้
(learming
styles) เป็นเพียงการจัดกลุ่มที่มีลักษณะโดยรวมเท่านั้น
ไม่อาจจําแนก
ได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งจะจัดอยู่ในกลุ่มของแบบการเรียนแบบใดแบบหนึ่ง
ดังที่การ์ดเนอร์ (howard gundryer) ที่ได้เสนอทฤษฎีพหุปัญญา
(multiple intelligence theory) 8 ค้าน คือ
ด้านภาษาด้านตรรกะและ คณิตศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านมิติสัมพันธ์ ค้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
ด้านการรู้จักตนเอง ด้านความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล
และด้านความเข้าใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ผู้สอนสามารถใช้แบบการเรียนรู้ที่มาจากสติปัญญา
หนึ่งด้านหรือสองด้านเพื่อให้เกิดการเรียนการสอนมีประสิทธิผลสูงสุด โดยปกติผู้สอน
ทดสอบ และการ ได้รับข้อมูลป้อนกลับประกอบด้วยสติปัญญาสองด้าน คือ ภาษา (verbullinguistic)
และเหตุผล (logical/mathematical) การนําแนวคิดพหุปัญญามาใช้ควรจะเป็นการใช้อุณลักษณะเด่นของสติปัญญา
เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
ประการสําคัญผู้สอนต้องคํานึงอยู่เสมอว่าในชั้นเรียนหนึ่ง ๆ มี ผู้เรียนทุกแบบการเรียนรู้
ดังนั้นผู้สอนจําเป็นต้องใช้แบบการสอน (teaching style) ที่หลากหลายเพื่อ
ตอบสนองแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ครอบคลุม
ผู้เรียนมีโอกาสได้พัฒนาความสามารถของตนเองเต็มตาม ศักยภาพ
พหุปัญญา
(Multiple
Intelligences)
Howard
Gardner (2011) Gardner, Howard. Frumes of Mind: The Theory of Multiple
Intelligences New York: Basic Books, 2011. ได้พัฒนาทฤษฎีพหุปัญญาโดยทฤษฎีโต้แย้งความคิดเกี่ยวกับคาน
ปัญญาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่เคยระบุความหมายไว้แต่เดิมซึ่งเรียก
“ไอคิว” (CIO) นั้นไป พอที่จะขึ้นําไปสู่การแสดงความสามารถของมนุษย์ที่มีมากมายหลากหลาย
ที่แนวคิดเดิมเน้น มนุษย์เพียงสองด้าน คือ ด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์
การ์ดเนอร์ได้เสนอแนวคิดว่าปัญญาที่น หรือพหุปัญญาจะพบในทุกวิถีชีวิต
การเรียนรู้ที่ดีที่สุดอาจเกิดจากตัวป้อนที่ให้ผ่านวิธีการที่ต่าง อาจจะทําได้ดีในเรื่องที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์
1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic intelligence) เป็นปัญญาความสามารถในการใช้ถ้อยคํา
(“word smart”)
2.
ปัญญาด้านตรรกะ - คณิตศาสตร์ (Logical-mathematical
intelligence) เป็นปัญญา ารถทางด้านจํานวนตัวเลขและเหตุผล (“number/reasoning
smart”)
3.
ปัญญาด้านมิติ (Spatial intelligence) เป็นปัญญาความสามารถด้านการคิดเป็นรูปภาพ
-มารถมองเห็นโลกในรูปของภาพ และสามารถจําลองสร้างภาพนั้น ๆ ได้ ("picture
smart”)
4.
ปัญญาทางด้านดนตรี Musical intelligence เป็นปัญญาที่มีความสามารถสูงทางด้านคนตรี
คือ กามารถและชื่นชมในเสียง ทํานองจังหวะ และสามารถผลิตสียง ทํานอง จังหวะได้ดี(“music
smart”)
5.
ปัญญาด้านร่างกาย - การเคลื่อนไหว(Bodily-Kinesthetic
intelligence) เป็นปัญญา
เรามสามารถพิเศษในการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย
และในการใช้มือเพื่อจัดกระทํากับสิ่งของ (“bodysmart")
6
ปัญญาค้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal intelligence) เป็นปัญญาความสามารถพิเศษ ในการทํางานร่วมกับผู้อื่น
มีความเข้าใจผู้อื่นสามารถที่จะสังเกตรับรู้อารมณ์ ความคิดความปราถนาของ ผู้อื่น (“people
smart
7.ปัญญาค้านค้านปฏิสัมพันธ์ต่อตนเอง (Intrapersonal intelligence) เป็นปัญญาความสามารถ เข้าใจอารมณ์ของตนเองได้ดี (self smart”)
8.
ปัญญาด้านการเข้าใจเรื่องธรรมชาติ (Naturalist intelligence)
เป็นปัญญาความสามารถสังเกต
เชื่อมโยงข้อมูลกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ (“nature smart”)
สาระสําคัญเกี่ยวกับทฤษฎีพหุปัญญา
คือ ทุกคนมีปัญญาทั้ง 8
ค้านนี้ในตน และปัญญาแต่ละด้าน สามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับใช้การได้
การ์ดเนอร์กล่าวสรุปไว้ว่า ปัญญาทั้ง 8 ค้านจะสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตจะไม่มีกิจกรรมใดที่ใช้เฉพาะปัญญาด้านใดด้านเดียว
คําแนะนําที่ดีก็คือ ไม่ทุ่มเทไปที่ ปัญญาด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว
แต่ควรจะสัมพันธ์ปัญญาหลายๆ ด้านในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา
แบบการสอน
แบบการสอน
(Styles
of teaching) เป็นการแสดงคุณค่าของครูแต่ละคน
เป็นปัจจัยส่วนบุคคลที่ ทําให้ครูคนหนึ่งแตกต่างไปจากครูคนอื่นๆ
ประกอบด้วยการแต่งกาย ภาษา เสียง กริยาท่าที่ ระดับพลัง การแสดงออกทางสีหน้า
แรงจูงใจ ความสนใจในบุคลอื่น ความสามารถในการแสดงเชาว์ปัญญาและความคง แก่เรียน
ครูมีความพร้อมที่จะปรับสไตล์การสอนแบบใดแบบหนึ่งโดยที่รู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็ได้คะ
เสมือนผู้ช่วยเหลือ ผู้กวดขันวินัย นักแสดง เพื่อน ภาพลักษณ์ของพ่อหรือแม่
ผู้ปกครองที่มีอํานาจ จิตร พี่ชายใหญ่ หรือพี่สาวใหญ่
หรือแสดงหรือเป็นตัวอย่างของรูปแบบการสอนสไตล์การสอนเป็น “คุณภาพ
แผ่ซ่านอยู่ในพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
เป็นคุณภาพที่คงอยู่แม้ว่าเนื้อหาจะเปลี่ยนแปลง” (Fischer Fischer, 1976 :
245) หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นคุณภาพตามเนื้อหาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
คุณภาพของจะคงอด ฟิสเซอร์ทั้งสองได้สังเกตว่าครูมีความแตกต่างกันในรูปแบบการสอน
เช่นเดียวกับประธานาธิบดีของรัฐบาล
อเมริกาแต่ละบุคคลที่มีรูปแบบการพูดที่แตกต่างกัน
นักวาดภาพที่มีชื่อเสียงก็มีความแตกต่างกันในรูปแบบ
ของกิจกรรมหรือนักเทนนิสที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางก็มีรูปแบบการเล่นที่เป็นของตัวเองไม่เหมือนใคร
ครูที่มีเสียงสูงและเสียงแบนจะมีความยากในการใช้วิธีสอนแบบบรรยาย
ครูที่แต่งเครื่องแบบหรือมี
ท่าทางที่เป็นทางการจะสามารถจัดการกับห้องเรียนที่อีกทึกได้
ครูที่ขาดความเชื่อมั่นในทักษะการจัดการ
อาจจะรู้สึกไม่ชอบใจกับความเป็นอิสระอย่างไม่มีขอบเขตของผู้เรียนไม่ชอบใจกับการอภิปรายชนิดที่เป็น
ปลายเปิด
และถ้าครูระดับต่ํามีแนวจูงใจต่ําที่จะปฏิเสธการอ่านเรียงความหรือรายงานประจําภาคของผู้เรียน
อย่างระมัดระวังแล้ว วิธีเช่นนี้จะมีประโยชน์น้อยมาก
ครูที่มีใจชอบความคงแก่ผู้เรียน
ชอบที่จะรวมเอาวิธีสอนหลากหลายที่ได้จากผลการวิจัยมาใช้ ครูที่
ให้ความสนใจกับประชาชนจะเลือกวิธีสอนที่ครูและนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันและนักเรียนไม่เพียงแต่จะมี
ปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วๆ ไปทั้งในและนอกโรงเรียนด้วย
ครูที่มีความเชื่อมั่นกับงานของตนเอง
จะเชื้อเชิญให้ผู้อื่นมาเยี่ยมชมชั้นเรียนจะใช้ทรัพยากรบุคคล โสตทัศนูปกรณ์
วีดีทัศน์ เป็นกิจกรรมในชั้นเรียน ครูที่มีความเป็นประชาธิปไตยจะอยกแบบกิจกรรมการ
เรียนการสอนที่ยอมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ครูบางคนปฏิเสธที่จะใช้โสตทัศนูปกรณ์
เพราะรู้สึกว่าไม่มีสมรรถนะเพียงที่จะใช้เครื่องมือ และมี
เจตคติว่าการใช้สื่อทําให้เสียคุณค่าของเวลา
แบบการสอนของผู้สอน
มีความสัมพันธ์บางอย่างกับแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังที่กล่าวมาแล้วว่า
ผู้เรียนบางคนมีความสามารถในการแสดงออกด้วยการพูดดีกว่าการเขียน
บางคนสามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับ เรื่องของนามธรรม ในขณะที่คนอื่นๆ
เพียงแต่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น บางคนเรียน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคนิคการฟังและการดูมากกว่าการอ่าน
บางคนสามารถทํางานภายใต้ ความกดดันได้
ผู้เรียนที่มีแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างในแบบการสอนด้วย ในความจริงแล้วจํานวนผู้สอน
มากขึ้นเท่าไรความแตกต่างของผู้เรียนยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
ผู้สอนต้องรับรู้ว่าแบบการสอนสามาศ กระทบอย่างแรงกล้าต่อสัมฤทธิ์ผลของผู้เรียน
แบบการสอนแต่ละครั้งสามารถที่จะผสมผสาน จุดหมายของผู้เรียนได้
แบบการสอนไม่สามารถเลือกในลักษณะเดียวกันกับการเลือกกลวิธีการสอนได้
แบบการสอน อนที่จะเปิดปิดสวิตซ์ได้
ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายที่จะเปลี่ยนการมุ่งงานไปเป็นการมุ่งให้ผู้เรียนเป็น
องทํานองนี้เป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะทําได้ เหนือสิ่งอื่นใด ผู้สอนที่ไม่มีการตื่นเต้นทางอารมณ์
ในผู้สอนที่มีความตื่นเต้นทางอารมณ์ได้หรือไม่
มีคําตอบอยู่สองคําถามเกี่ยวกับแบบการสอนว่า เราเปลี่ยนแบบการสอนได้หรือไม่
และผู้สอนควรเปลี่ยนแบบการสอนหรือไม่
บางที่จะพบว่า
คําถามที่ยิ่งใหญ่ คือ ผู้สอนควรเปลี่ยนแปลงแบบการสอนหรือไม่ มีคําตอบอยู่สาม
ตามที่ตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าผู้สอนสามารถเปลี่ยนแบบการสอนได้ คือ ประการแรก
แนวคิดที่ว่าเอนตรงกับแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน
จึงได้มีความพยายามที่จะวิเคราะห์แบบการสอนและแบบ
คนรู้ของผู้เรียนอย่างถูกต้องสมควร และจัดกลุ่มผู้เรียนและผู้สอนที่มีแบบการเรียนและแบบการสอนที่สอดคล้องกัน
ประการที่สอง
ตามแนวความคิดที่ว่า มีคุณความดีบางอย่างในการที่จะเผยให้ผู้เรียนทราบถึงแบบ
การเรียนรู้ของบุคคลที่มีความหลากหลายแตกต่างกันอย่างมากในระหว่างที่พบเห็นในโรงเรียน
เพื่อให้ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในแบบต่างๆ
แม้ว่าผู้เรียนบางคนอาจจะชอบมากกว่าที่จะให้มี โครงสร้างแต่เพียงเล็กน้อย
ไม่เป็นทางการ ใช้วิธีการผ่อนคลายในขณะที่อยู่ในโรงเรียน ผู้เรียนที่จบจาก
มัธยมตอนปลายที่มุ่งงาน และผู้สอนที่ยึควิชาเป็นศูนย์กลางจะเป็นคนที่เรียกว่า
เท้าอุ่น จะมีหลัก มีความ มั่นคงช่วยให้ประสบผลสําเร็จ
ประการที่สามต่อคําถามว่า
ผู้สอนควรจะเปลี่ยนแบบการสอนหรือไม่ มีแนวคิดว่า ครูควรจะ ยืดหยุ่น
ใช้แบบการสอนให้มากว่าหนึ่งแบบ
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าหลากวิธีการสอนให้ผู้เรียนกลุ่ม เดียวกัน
หรือกับผู้เรียนต่างกลุ่มกันคําตอบนี้รวมถึงลักษณะของการตอบประการแรกประการที่สองด้วย
ผู้สอนจะมีหลากหลายแบบการสอนสําหรับกลุ่มผู้เรียนพิเศษด้วยสัญลักษณ์ที่เหมือนกัน
ถ้าผู้สยนสามารถทํา ได้ ทําให้ผู้เรียนพบกับแบบการสอนที่หลากหลายของผู้สอน
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่รับเลือกต้องอนุโลมให้มี แบบการสอนที่สามารถเรียนแบบได้ด้วย
นั่นคือ เหตุผลที่แสดงว่า ทําไมเป็นเรื่องสําคัญสําหรับผู้สอนที่ต้องรู้
ว่าผู้เรียน เป็นใคร เป็นอะไร และเชื่อถืออะไรบ้าง คันน์และตันน์ ได้กล่าวว่า
เกี่ยวกับผลของเจตคติความเชื่อ ของครูต่อแบบการสอนว่าได้ไป ส่วน
เจตคติของครูต่อโปรแกรมการเรียนการสอน
วิธีการสอนและแหล่งวิทยาการที่หลากหลาย ตลอดจนลักษณะของเด็กๆ
หรือผู้เรียนที่ผู้สอนชอบทํางานด้วยผสมผสานหลอมหล่อกันเป็นส่วนหนึ่งของ “แบบการสอน”
อย่างไรก็ตามมีความจริงอยู่ว่า
ผู้สอนบางคนเชื่อในรูปแบบของการเรียนการสอนพิเศษซึ่ง ไม่ใช่การปฏิบัติอื่นๆ ซึ่งผู้สอนไม่ได้ให้ความเชื่อถือ
(อํานาจในการบริหารหรืออํานาจของชุมชน ความไม่
สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรืออดทนต่อแรงกดดัน) และความเป็นจริงด้วยเหมือนกันอีกว่า
ผู้สอนอาจจะ ชอบผู้เรียนที่มีความแตกต่างไปจากที่สอนอยู่มากกว่าก็เป็นได้
ฟีชเซอร์และฟิชเชอร์
ได้บ่งชี้แบบการสอนที่ประกอบด้วย การรอบรู้ภาระการงาน การวา การร่วมมือกัน
การให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการให้ความตื่นเต้นทางอารมณ์และเป็นแบบอย่าง
การมุ่งงาน
ครูจะกําหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และบอกถึงความต้องการในการปฏิบัติงานของ
นักเรียน การเรียนที่จะประสบผลสําเร็จอาจจะเฉพาะเจาะจงไปที่พื้นฐานของนักเรียนแต่ละคน
และมีระบบ จะให้นักเรียนแต่ละคนเป็นไปตามความคาดหวังอย่างชัดเจนมั่นคง
การวางแผนการร่วมมือกัน
ครูร่วมกันวางแผนวิธีการและจุดหมายปลายทางของการเรียนการสอน
ด้วยความร่วมมือของนักเรียน ครูไม่เพียงแต่จะรับความคิดเห็นเท่านั้น
แต่ครูต้องกระตุ้นให้การสนับสนุน การมีส่วนร่วมของนักเรียนทุกระดับชั้นด้วย
การให้นักเรียนเป็นจุดศูนย์กลาง
ครูจัดหาจัดเตรียมโครงสร้างต่างๆ สําหรับนักเรียนเพื่อให้ติดตาม
แสวงหาความรู้ตามที่ต้องการหรือตามความสนใจ สไตล์แบบนี้ไม่เพียงแต่จะพบว่ามีน้อย
แต่เกือบจะเป็นไป ไม่ได้ที่จะจินตนาการให้เป็นไปตามที่คาดหวัง
เพราะว่าชั้นเรียนที่มีอัตราส่วนระหว่างนักเรียนกับครู และ
นักเรียนกับสิ่งแวดล้อมในความรับผิดชอบจะกระตุ้นส่งเสริมความสนใจของนักเรียนบางคน
และทําให้ นักเรียนบางคนเกิดความท้อแท้ใจโดยอัตโนมัติ
การให้เนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลาง
วิธีการนี้ครูจะเน้นไปที่เนื้อหาวิชาที่จัดไว้ดีแล้ว โดยกับผู้เรียน ออกไป และคิดว่าเนื้อหาวิชาที่จัดนั้น
ครอบคลุมรายวิชาครูจะพึ่งพอใจแม้ว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นน้อย
การให้การเรียนรู้เป็นศูนย์กลาง
วิธีการนี้ครูจะให้ความสําคัญเท่าๆ กันระหว่างนักเรียนและ จุดประสงค์ของหลักสูตร
ตลอดจนสิ่งที่จะใช้ในการเรียน ครูจะปฏิเสธการเน้นอย่างมากเกินไปทั้งในด้าน
การให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
และการให้เนื้อหาเป็นศูนย์กลางแทนการช่วยเหลือนักเรียน โดยไม่คํานึงว่า
นักเรียนมีความสามารถหรือไม่มีความสามารถ เพื่อที่จะพัฒนาไปสู่เป้าประสงค์ที่มีความเป็นไปได้ให้ดีเท่าๆ
กับอิสรภาพในการเรียนรู้ของนักเรียน
ให้มีการตื่นเต้นทางอารมณ์และเป็นแบบอย่าง
วิธีการนี้ครูจะแสดงอารมณ์ที่เกี่ยวกับการสอนอย่าง เข้มข้น
ครจะเข้าไปอยู่ในกระบวนการสอนอย่างใจจดใจจ่อ และโดยปกติแล้วจะก่อให้เกิดบรรยากาศ
เทเกศบรรยากาศของ
ชั้นเรียนที่ตื่นเต้นและมีอารมณ์ร่วมสูง
ไม่มีข้อสงสัยเลยที่จะพบว่าประเภทของการสอนบางอย่างชวนให้ใช้และได้รับการยอมรับมากกว่า
ประเภทอื่นๆ เราอาจจะบ่งชี้ได้ว่าการสอนบางประเภทเป็นลบ (ตัวอย่างคือ
พฤติกรรมที่ไม่เป็น ประชาธิปไตย) บางประเภทเป็นบวก (เช่น การคํานึงถึงนักเรียน)
เราซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต คงจะยอม ของการสอนซึ่งเป็นแบบอย่างของตน ดังที่
ฟิชเชอร์และฟิชเชอร์
ได้กล่าวว่าเราไม่ได้พิจารณาว่าสไตล์การสอนและการเรียนรู้ทั้งหมดมีความเหมาะสมเท่าเทียม
บ่อยครั้งที่การสอนนั้นๆ เป็นสิทธิของการปฏิบัติที่ไม่สามารถจะโต้แย้งได้ “เอาล่ะนั้นมันเป็นวิธีการ
ฉัน
ผมมีวิธีการขอ ของวิธีการนั้นๆ อยู่นสาธีการของผม
คุณมีวิธีการของคุณ และแต่ละวิธีการก็ดีเหมือนๆ กับวิธีการอื่นๆ” ถ้าทุกความคิด การนั้นๆ อยู่บนพื้นฐานของความผูกพันต่อการเรียนการสอนรายบุคคล
และพัฒนาการของอิสรภาพ
เราไม่ยอมรับการสอนประเภทที่ส่งเสริมการบังคับให้ปฏิบัติตามและขึ้นอยู่กับผู้อื่น
(Fisher and
ของผู้เรียน
เราไม่ยอมรับการ fber, 1976 : 409 - 401)
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
(Learning Environment)
Jon
Wles (2009: 56 - 57) สรุปว่า สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning
Environment) หมายถึง สภาวะ เด้อมที่ อยู่รอบๆ ตัวผู้เรียน
ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ในด้านรูปธรรมเป็นสภาพแวดล้อมทาง คาตภาพ
ได้แก่สภาพแวดล้อมในห้องเรียน เช่นขนาด การวางผัง แสง ที่นั่ง
ส่วนสภาพแวดล้อมภายนอก ร้องเรียน เช่น
ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หรือทางภาษา โดยสามารถใช้อาคารในการจัด
พื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้โดยเฉพาะ จัดสื่อที่หลากหลาย
สําหรับนักเรียนแต่ละคน และเป็นสื่อ บูรณาการสะดวกเหมาะสมกับหลักสูตร
เป็นศูนย์การเรียนรู้สื่อประสม เป็นต้น สภาพแวดล้อม ที่เป็นนามธรรม ได้แก่
การจัดการเรียนการสอน สภาพแวดล้อมทางจิตใจหรือบรรยากาศทางจิตใจ ส่งผลต่อ
ผู้เรียนทั้งทางบวกและทางลบ
ตลอดจนมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้
โดยสรุปสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment) เกี่ยวข้องโดยตรงกับ
การจัดการเรียนรู้และการ จัดการชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลการเรียนรู้
คือมีความรู้ สมรรถนะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์
Bob
Pearlman (http://go.solution-tree.com/2lstcenturyskills อ้างถึงใน
นฤมล ปภัสสรานนท์ 2558: 67-68) ได้นําเสนอบทความเกี่ยวกับการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนทักษะใน
ศตวรรษที่ 21 โดยตั้งคําถามว่า"ความรู้และทักษะอะไรบ้างที่จําเป็นสําหรับ
นักเรียนในศตวรรษที่ 21" และ
ควรตอบคําถามตามประเด็นคําถามต่อไปนี้
-
อะไร คือ หลักสูตร การเรียนการสอน
และกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
-
สิ่งที่ใช้ประเมินผลการเรียนรู้ทั้งระดับโรงเรียน และระดับชาติ
เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักเรียน การมีส่วนร่วมของนักเรียน และการบริหารตนเอง
รังนก - เทคโนโลยีจะสามารถสนับสนุนการเรียนการสอน หลักสูตรและการประเมินผลของศตวรรษ
ที่ 21 เพื่อสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างไร
-
อะไร คือ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทางกายภาพ
(ห้องเรียนโรงเรียนและโลกแห่งความจริง) ที่
ส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
จากการศึกษาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Learning Environments) จาก
เว็บไซด์ http://www.2Istcenturyskills.org/route2ir ได้นําเสนอสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 ไว้
ว่า คือ
ระบบสนับสนุนที่จัดสรร เพื่อให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุด
เป็นระบบที่รองรับความต้อ.. การเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียนทุกคนและสนับสนุนความสัมพันธ์กับมนุษย์ในทางที่เป็นประ
เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ เป็นการรวมเอาโครงสร้าง
เครื่องมือและชม สร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนและนักการศึกษา
เพื่อที่จะบรรลุความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21 : ความต้องการของทุกคน
สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จะเป็นระบบ
ที่สอดคล้องกันได้ตัว คือ
-
สร้างข้อปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้
ให้การสนับสนุนจากผู้คนโดยรอบและสภาพแวดล้อม
กายภาพที่จะให้การสนับสนุนการเรียนการสอนและการเรียนรู้
เพื่อให้ได้ผลเชิงทักษะในศตวรรษที่ 21
-
สนับสนุน ชุมชน การเรียนรู้ระคับ มืออาชีพที่ช่วยให้ นักการศึกษา
ทํางานร่วมกันแบ่งปัน ปฏิบัติที่ดีที่สุดและบูรณาการทักษะในศตวรรษที่ 21 ไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียน
-
ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ใน บริบทของ ศตวรรษที่ 21 (เช่นผ่านโครงการหรืองานอื่น ๆ นําไปใช้
-
ช่วยให้เข้าถึง
เครื่องมือการเรียนรู้ที่มีคุณภาพเทคโนโลยีและทรัพยากร
-
จัดสรร ให้ การออกแบบ เชิงสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในศตวรรษที่ 21สําหรับการ เรียนรู้แบบ กลุ่ม, ทีมงานและของแต่ละบุคคล
-
รองรับ ชุมชนที่มี
การขยายตัวและการมีส่วนร่วมระหว่างประเทศในการเรียนรู้ทั้ง การเรียน แบบเผชิญหน้า face
to face และ ออนไลน์
กลวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ (Classroom
Instruction That works)
Marzano (2012) ได้เสนอกลวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ
ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1. การสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Creating the Environment for
Learning)
2. การช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ความเข้าใจ (Helping students
Develop Understanding)
3. การช่วยให้ผู้เรียนให้ขยายและนําความรู้ไปใช้ (Helping students
Extend and Apply Knowledge)
-กลวิธีที่ 1 เป็นพื้นฐานสําคัญ
เมื่อผู้สอนสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ จะทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
อย่างมีความหมาย โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนการติดตามและพัฒนาความรู้ของตนเอง
กลวิธีที่
2 เป็นการช่วยผู้เรียนในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ จัดการกับความรู้
จัดลําดับและ เชื่อมโยงความรู้เก่ากับความรู้ใหม่ ตรวจสอบความรู้และสร้างมโนทัศน์
(Concept) ที่ถูกต้อง ซึ่งกระบวน
การบูรณาการและเรียนรู้กระบวนการในแต่ละประเภทของความรู้จะเกี่ยวข้องกับ 1)
การสร้างขั้นตอนที่
จำเป็นในแต่ละกระบวนการหรือทักษะ 2) พัฒนามโนทัศน์และความเข้าใจในกระบวนการและการปฏิบัติ
ช่างหลากหลาย 3)ปฏิบัติตามทักษะที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นประจํา
กลวิธีที่ 3 คือ ช่วยผู้เรียนขยายและประยุกต์ใช้ความรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ความรู้มากกว่า
-คนที่ถูกต้อง (right answer) โดยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้
ขยายขอบข่ายความรู้ โดยประยุกต์ใช้ความรู้
จริงเริงเป็นบริบทแห่งความเป็นจริง (Real-world Contexts) มีความเป็นเหตุเป็นผล
จึงเป็นการเรียนรู้ อย่างมีความหมาย
การสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
(Creating the Environment for
Learning)
Marzano: (2012) ได้สรุปกลวิธีการการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
ในการสร้าง สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ ไว้ดังตาราง
ตารางที่ 14
กลวิธีการการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
1)การกำหนดวัตถุประสงค์และให้ข้อมูลย้อนกลับ(Setting Objectives Feedback)
|
2) เสริมแรงและสร้างความยอมรับ (Reinforcing Effort and Providing
Recognition)
|
3) การเรียนแบบร่วมมือ
ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Cooperatives Learning)
|
ช่วยพัฒนาความเข้าใจของผู้เรียน(Helping students Develop Understanding)
1) ให้คําแนะนํา (Cues)
2) ใช้คําถาม (Questions)
3) ให้ความรู้มโนทัศน์ล่วงหน้า
(Advance Organizes)
4) การแสดงออกโดยภาษากาย
(Nonlinguistic
Representations)
5) สรุปความและจดบันทึก
(Summarizing
and Note taking)
6) มอบหมายการบ้านและให้ปฏิบัติ
(Assigning
Homework and Providing Practice)
|
ช่วยขยายและประยุกต์ใช้ความรู้ของผู้เรียน
(Help students Extend and Apply Knowledge)
1) ระบุความเหมือนความแตกต่าง
(Identifying
Similarities and Differences)
2) สร้างและทดสอบสมมติฐาน
(Generating
and testing Hypotheses)
|
ตารางที่ 15 คําจํากัดความของกลยุทธ์การสอนคําสําคัญ
คำสำคัญ
|
ความหมาย
|
1) กําหนดวัตถุประสงค์และให้ข้อมูลย้อนกลับ
(Setting Objectives Feedback)
|
การให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทิศทางในการเรียนรู้
เป้าหมายในการพัฒนาทักษะการปฏิบัติ
|
2) การเสริมแรงและสร้างการยอมรับ
(Reinforcing Effort and Providing Recognition)
|
การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเรื่อง
- ความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามและความสำร็จ
โดยมุ่งสร้างทัศนคติที่ดีและความเชื่อมั่นในการเรียนรู้
-สามารถให้การยอมรับและเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรม
ยกย่องในความสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนดไว้
|
3) การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative
Learning)
|
หมายถึง
การจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในการส่งเสริม
สนับสนุนการเรียนรู้
|
4) ให้คําแนะนํา,ใช้คําถามและมโนทัศน์ล่วงหน้า (Cues, Questions and Advance
Organizes)
|
คือ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถจดจํา ใช้และจัดการกับ)
ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา
|
5) การแสดงออกโดยภาษากาย
(Nonlinguistic
Representations)
|
หมายถึง การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถนําเสนอและ
รายละเอียดในการแสดงถึงความรู้
|
6)สรุปความและจดบันทึก
(Summarizing
and Note taking)
|
หมายถึง
การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูล และจัดการกับข้อมูลโดยสรุปสาระสำคัญและข้อมูลสนับสนุน
|
7) มอบหมายงานและให้ปฏิบัติ
(Assigning Homework and Providing
Practice)
|
หมายถึง
การให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ,ทบทวนและประยุกต์ใช้ความรู้
การสร้างเสริมให้นักเรียนได้เข้าถึงระดับของความเชี่ยวชาญในทักษะหรือกระบวนการที่คาดหวัง
|
8)ระบุความเหมียนความแตกต่าง
(Identifying Similarities and Differences)
|
หมายถึง
การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจ และสามารถใช้ความรู้
กระบวนการทางปัญญาในการะบุหรือจําแนกสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง
|
9) สร้างและทดสอบสมมติฐาน
(Generating and testing Hypotheses)
|
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมนักเรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้และกระบวนการทางปัญญาในการสร้างและทดสอบสมมติฐาน
|
กลยุทธ์การสอนที่มีประสิทธิภาพ
ตามแนวคิด ของ Marzano
การตั้งจุดมุ่งหมาย/จุดประสงค์
(Setting
objectives)
แนวทางการตั้งจุดประสงค์ มีดังนี้ 1) ตั้ง
-เค์ให้ชัดเจนตามเกณฑ์แต่ไม่ตายตัว 2) สื่อสารจุดประสงค์ให้กับผู้เรียนและครอบครัวได้เข้าใจ
เราเชื่อมโยงจุดประสงค์การเรียนรู้กับสิ่งที่เรียนรู้เพิ่มและการเรียนรู้ใหม่
4. ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ ตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้ของตนเอง
การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Providing
Feedback) การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เกี่ยวกับ
๑๑ประสงค์การเรียนรู้และนําไปสู่การพัฒนาการปฏิบัติและความเข้าใจ
ซึ่งแนวทางการให้ข้อมูลย้อนกลับที่มี
ะสิทธิภาพ
ดังนี้ 1)
ข้อมูลย้อนกลับจะต้องมีความถูกต้องและละเอียดในสิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้และเป็น
แระโยชน์ต่อไป 2) การให้ข้อมูลย้อนกลับควรคํานึงถึงเวลาที่เหมาะสมและจําเป็น
3) การให้ข้อมูลย้อนกลับ ควรมีเกณฑ์อ้างอิงชัดเจน 4) ควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลย้อนกลับ
การให้การเสริมแรง (Reinforcing
Efort) มีวิธีการดังนี้ 1) สอนนักเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์
ระหว่างการเสริมแรงและผลสัมฤทธิ์ 2) แจ้งผู้เรียนให้ชัดเจนในวิธีการ
กระบวนการในการให้แรงเสริม 3) ถามผู้เรียนถึงผลที่เกิดจากการเสริมแรงสู่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
การให้การยอมรับ (Providing
Recognition) มีวิธีการดังนี้ 1) ส่งเสริม
เป้าหมายมุ่งเน้นการเป็นผู้ รอบรู้ 2)ให้การยกย่อง
สําหรับสิ่งที่เป็นไปตามความคาดหรือทั้งในด้านการปฏิบัติและพฤติกรรม 3) ใช้สัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม ในการแสดงการยอมรับ เป็นการให้รางวัล
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative
Learning) มีวิธีการดังนี้ 1) ควรยึดหลักของการมี
ปฏิสัมพันธ์ทางบวกและการรับผิดชอบในความสําเร็จส่วนบุคคล 2) จัดเป็นกลุ่มเล็ก
3-5 คน 3) ใช้การ
เรียนรู้แบบร่วมมืออย่างสอดคล้องและเป็นระบบ
การใช้การแนะนําและคําถาม (Cues and
Questions) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้เฉพาะประเด็นที่สําคัญ
2) ให้คําแนะนําที่ชัดเจน 3) ถามคําถามเชิงอนุมาน
4) ถามคําถามเชิงวิเคราะห์
การให้มโนทัศน์ล่วงหน้า (Advance
Organizers) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้การอธิบายในการสร้างมโน
ทัศน์ล่วงหน้า 2) ใช้การบรรยายในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า 3)
ใช้สรุปภาพรวมในการสร้างมโนทัศน์ ล่วงหน้า 4) ใช้กราฟิกในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า
การใช้ภาษากายแสดงออก (Nonlinguistic
Representations) มีวิธีการดังนี้ 1)ใช้กราฟิกในการ
นําเสนอ 2) จัดกระทําหรือทําตัวแบบ 3)ใช้รูปแสดงความคิดนําเสนอ
4) สร้างรูปภาพ, สัญลักษณ์
สรุปและจดบันทึก
(Summarizing and note taking) มีวิธีการดังนี้ 1) สอนนักเ วิธีการบันทึก สรุป
ที่มีประสิทธิภาพ 2) ใช้แบบฟอร์มการสรุป 3) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ สอน ซึ่งกันและกัน
การให้การบ้าน
(Assigning Homework) มีวิธีการดังนี้
1)พัฒนาและสื่อสาร นโยบาย มอบหมายการบ้านของโรงเรียน 2)
ออกแบบการบ้านที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ทางวิธีการ 3)ให้ง ย้อนกลับในงานที่มอบหมาย
การให้ฝึกปฏิบัติ
(Providing Practice) มีวิธีการดังนี้
1)ต้องบอกถึงวัตถุประสงค์ของการปฏิว อย่างชัดเจน 2) ออกแบบการปฏิบัติที่ เจาะจงและเวลาเหมาะสม 3) ให้ทํากิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหา
การบอกความเหมือนและความแตกต่าง (Identifying Sirilarity) มีวิธีการดังนี้ 1) วิธีการบอ
ความเหมือนความแตกต่างที่หลากหลายวิธี 2) แนะนํานักเรียนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการของการกําหนด
ความเหมือนความแตกต่าง 3) ให้คําแนะนําที่ช่วยให้นักเรียน
กําหนดความเหมือนความแตกต่างได้
การสร้างและทดสอบสมมติฐาน (Generating
and testing Hypotheses) มีวิธีการดังนี้ 1)ให้
นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ในรูปแบบของการสร้างและทดสอบสมมติฐานที่หลากหลาย 2)
การและให้ นักเรียนอธิบายสมมติฐานและและข้อสรุป
สรุป
(Conclusion)
ผู้สอนเป็นบุคคลที่มีความสําคัญมากต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ผู้สอนทุกคนต้องตระหนักและ
ยอมรับเสมอว่าครูมีหน้าที่สอนผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันทุกกลุ่มและทุกรายวิชา
ไม่ว่าผู้เรียนจะมีความ พิการหรือไม่ก็ตาม
ผู้เรียนปกติทั่วไปก็มีความแตกต่างในความสามารถและลักษณะนิสัย ดังนั้นการคํานึงถึง
การออกแบบที่เป็นสากล (Universal Design ) จึงมีความจําเป็น
โดยก่อนอื่นผู้สอนต้องสํารวจทําความรู้จัก ผู้เรียนที่จะสอนให้ทั่วถึง
สํารวจดูว่ามีผู้เรียนที่พิการในห้องเรียนไหม หรือมีใครที่มีความต้องการพิเศษทาง
การศึกษา เช่น ทํางานช้า เรียนรู้ช้า มีสมาธิสั้น เป็นต้น และที่สําคัญ
ต้องสังเกตแบบ/ลีลาการเรียนรู้ (Learning Style) ของผู้เรียน
คือ ผู้เรียนบางคนสามารถเรียนรู้ได้จากการฟังบรรยาย
ผู้เรียนบางคนจะเข้าใจได้ดีต้องมี รูปภาพประกอบหรือใช้สือตัวอย่างแสดงให้เห็น
หรือผู้เรียนบางคนต้องลงมือปฏิบัติ การจัดทําสื่อการสอน ควรคํานึงถึงผู้เรียนทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนปกติหรือพิการ เช่น จัดทําวิดีโอเทป หรือเพาเวอร์พอยท์
ประกอบเสียงและตัวหนังสือกํากับ เป็นต้น
เมื่อรู้จักผู้เรียนแล้วผู้สอนจะได้เลือกแบบ/ลีลาการสอน (Teaching Style) ได้ถูกแบบการสอนมีหลายแบบ เพื่อให้เหมาะกับผู้เรียนหลายประเภท เช่น
ในบางเนื้อหา อาจเป็นการบรรยาย
บางเนื้อหาอาจให้ลงไปเก็บข้อมูลตามแหล่งเรียนรู้ต่างๆ แล้วนํามาเสนอ
อภิปรายร่วมกัน เป็นต้น การเขียนคําอธิบายรายวิชาควรมีความชัดเจนว่า
ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนได้อะไร โดยวิธีใดและคาดหวังอย่าไงร
ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเสนอแนะในสิ่งที่ต้องการอยากรู้เพิ่มเติม
หรือปรับกิจกรรมบางส่วนในรายวิชานั้นๆได้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น